ย้อนรอยยามู รู้รากถิ่นเกิด
ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวสด
ภาพประกอบจากเว็บไซต์มูลนิธิสยามกัมมาจล
จากเรื่องเล่าประวัติศาสตร์ชุมชน นำไปสู่การสืบค้นข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ทำให้เยาวชนทั้ง 5 คน เรียนรู้และศึกษาประวัติศาสตร์ชุมชน เพื่อไม่ให้สูญหายไป
การสืบค้นข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ประกอบด้วย น.ส. มีสบะห์ นิมะ (บะห์) ชั้น ม.3 น.ส.นูรีซา มาหะ (ซา) ชั้น ม.3 น.ส.อารีนี อาแว (นี) ชั้น ม.3 น.ส.กาสือหม๊ะ เซ็ง (หม๊ะ) ชั้น ม.6 และนายอัลฮายะห์ เจะหะ (ยัด) ชั้น ม.6 โรงเรียนสุวรรณไพบูลย์ สมาชิกจากโครงการย้อนรอยยามู หนึ่งในโครงการพลังพลเมืองเยาวชนสงขลา ปี 3 ดำเนินงานโดยสงขลาฟอรั่ม สนับสนุนโดย มูลนิธิทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ร่วมด้วย สสส. และมูลนิธิสยาม กัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ตระหนักว่าในฐานะที่พวกเขาซึ่งเป็นลูกหลานชุมชนนี้ หากไม่ลุกขึ้นมาเรียนรู้และศึกษาประวัติศาสตร์ชุมชน วันหนึ่งสิ่งเหล่านี้อาจสูญหายไป
"ก่อนหน้านี้หนูรู้ประวัติศาสตร์ชุมชนมาบ้าง ทราบเรื่องราวคร่าวๆ ว่าในชุมชนมีวังยะหริ่ง สถานที่สำคัญเพียงแห่งเดียวในยามู แต่พอได้ศึกษาไปเรื่อยๆ ก็รู้ว่าในชุมชนของเรายังมีสถานที่สำคัญที่อื่นอีก เช่น กุโบร์ (สุสาน) บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ศาลเจ้า และสะพานข้ามคลองยามู เป็นต้น" บะห์ น.ส.มีสบะห์ นิมะ เกริ่นนำ
ด้าน หม๊ะ น.ส.กาสือหม๊ะ เซ็ง กล่าวว่า "ส่วนหนูไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าวังยะหริ่งมีประวัติศาสตร์ความเป็นมาอย่างไร เพราะหนูไม่ได้อยู่ในชุมชนยามู แต่มีโอกาสเข้ามาเรียนที่ชุมชนนี้ และได้ทำโครงการร่วมกับน้องๆ ประกอบกับได้ฟังคำบอกเล่าจากคนเฒ่าคนแก่ ยิ่งกระตุ้นทำให้อยากรู้เรื่องราวชุมชนมากขึ้น จึงตั้งใจอยากเรียนรู้ไปพร้อมกับน้องๆ"
บะห์เสริมอีกว่า "เจ๊ะฆรู (ครู) บอกกับพวกเราว่าในตำบลยามูของเรามีสถานที่น่าสนใจอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ วัฒนธรรมความเป็นอยู่ และที่สำคัญคือประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ แต่ตอนนี้ผู้คนในชุมชนเริ่มไม่รู้ที่มาของสถานที่ทางประวัติศาสตร์ มองข้ามสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว จึงทำให้เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ค่อยๆ จางหายไป อีกอย่างถ้าเราเป็นคนในพื้นที่แล้วไม่สามารถตอบคนอื่นได้ว่าบ้านเรามีที่มาอย่างไร กลับเป็นคนนอกที่เขารู้จักประวัติชุมชนของเรามากกว่า แล้วเราจะอายไหม คำพูดตรงนี้เกิดเป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจที่ทำให้พวกเราอยากศึกษาประวัติศาสตร์ย้อนรอยยามูมากขึ้น หากต่อไปเมื่อใครถามเราก็จะตอบเขาได้อย่างภาคภูมิใจ"
เมื่อสำนึกพลเมืองเริ่มก่อเกิดในใจตน พวกเขาจึงเริ่มค้นหาคำตอบ ทั้ง 5 คนจึงวางแผน กำหนดกิจกรรม ประชาสัมพันธ์รับสมัครสมาชิก และสืบค้นข้อมูลต่างๆ ทั้งจากอินเตอร์เน็ตและถาม ผู้รู้ในชุมชน โดยกำหนดจากสถานที่สำคัญ 7 แห่ง ในชุมชนยามู มาเป็นตัวเริ่มต้น ได้แก่ กุโบร์เจ้าพระยา สะพานคลองยามู ศาลเจ้าปู่จ้อ โรงเรียนมัธยมแห่งแรกของอำเภอในวัดบูรพาราม สุสานจีน บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ และวังยะหริ่ง จากนั้นติดต่อหาผู้รู้ โดยได้รับความช่วยเหลือจากอาจารย์ที่ปรึกษาเป็นผู้ประสานงาน
การลงพื้นที่ครั้งแรก แกนนำทั้ง 5 คนลงไปสืบค้นข้อมูลใน สถานที่ต่างๆ ก่อน หลังจากนั้นก็มาจัดค่ายพาสมาชิกในกลุ่มทั้ง 30 คน ลงพื้นที่ในช่วงวันแม่ ซึ่งเป็นช่วงปิดเทอมพอดี ก่อนจะจัดกิจกรรมต่อเนื่อง ได้แก่ ประกวดภาพถ่ายสถานที่สำคัญ 7 แห่ง พร้อมคำบรรยายใต้ภาพ จัดบอร์ดนิทรรศการ การแสดงละครและวิดีโอเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ชุมชนยามู กลุ่มเป้าหมายที่ตั้งไว้เป็นเด็กในโรงเรียนสุวรรณไพบูลย์ และคนในชุมชนตำบลยามู
"เมื่อได้ลงมือทำโครงการ นอกจากแรงบันดาลใจที่เกิดขึ้นแล้วยังอยากสร้างจิตสำนึกให้คนในชุมชนตระหนักในคุณค่าประวัติศาสตร์ชุมชนด้วย ก็เลยมีแนวคิดว่าจะนำความรู้ที่เรามีทำเป็นสมุดบันทึกเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชุมชน เพื่อเผยแพร่ให้คนในชุมชนอ่าน ทำความเข้าใจคุณค่า ความหมายตัวตนและชุมชน ซึ่งคนเฒ่าคนแก่ในชุมชนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่ายังไม่เคยเห็นใครทำบันทึกประวัติศาสตร์ชุมชนแบบนี้" อัลฮายะห์กล่าว
บะห์เสริมว่า "การทำโครงการนี้ทำให้หนูรู้จักชุมชนตนเองมากขึ้น บอกเล่าให้คนอื่นฟังได้ว่าในชุมชนเรามีของดีอะไรบ้าง และถึงแม้ว่าเราจะเกิดที่นี่ อยู่ที่นี่มานาน ถ้ารักบ้านเกิดก็ถือเป็นเรื่องปกติ แต่การยิ่งได้รู้ประวัติศาสตร์ด้วย ทำให้เราหวงแหนไม่อยากเห็นใครมาทำลายชุมชนของเรา อยากให้อยู่ไปนานๆ"
นายอับดุลรอมัน มามะ (เจ๊ะฆรู) ครูสอนศาสนาและผู้รู้ในชุมชน เผยความรู้สึกว่า ดีใจที่เด็กรุ่นนี้กลับมาสนใจภูมิลำเนาตนเอง เพราะถ้าเด็กไม่เรียนรู้และใส่ใจประวัติศาสตร์ชุมชน เขาจะไม่รู้รากเหง้าที่มาของตนเองว่าเป็นอย่างไร และเขาจะลืมบ้านเกิด
"หากเราให้ความรู้ ถึงแม้เขาจะไปอยู่ที่ไหนเขาก็จะไม่ลืมบ้านเกิด และอยากกลับมาอยู่บ้านที่เป็นถิ่นกำเนิดของตนเอง" เจ๊ะฆรูกล่าว