ยูเอ็นชี้อัตราชายรักร่วมเพศรุนแรงขึ้น

เผยภูมิภาคเอเชียพบเชื้อเอชไอวีระบาดหนัก

 ยูเอ็นชี้อัตราชายรักร่วมเพศรุนแรงขึ้น

          ยูเอ็นเอดส์เผยรายงาน การแพร่ระบาดโรคเอดส์ฉบับล่าสุด ชี้อัตราผู้ติดเชื้อเอชไอวีในหมู่ชายรักร่วมเพศ ในหลายพื้นที่ของเอเชีย รุนแรงขึ้น เทียบเท่ากับสถิติกลุ่มรักร่วมเพศสหรัฐช่วงปลายทศวรรษ 80

 

          นายปีเตอร์ ปิออท กรรมการผู้อำนวยการยูเอ็นเอดส์ หน่วยงานดูแลด้านเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เผยรายงานการแพร่ระบาดของโรคภูมิคุ้มบกพร่อง (เอดส์) โลก ประจำปี 2551 ว่า ทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียมีการแพร่ระบาดของเชื้อเอชไอวีในหมู่ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย ในระดับเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในสหรัฐเมื่อ 25 ปีก่อน สะท้อนให้เห็นว่า ยังไม่มีการดำเนินมาตรการป้องกันมากพอ

 

          นายปิออท เรียกร้องให้มีการดำเนินนโยบายมากกว่านี้ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรคในกลุ่มชายรักร่วมเพศที่มีเพศสัมพันธ์อย่างไม่ปลอดภัย พร้อมเน้นถึงความสำคัญของการทำงานกับชุมชนผู้ติดเชื้อ

 

          ขณะที่นายพอล เดอ เลย์ ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบาย ตรวจสอบ และหลักฐานของยูเอ็นเอดส์ ชี้ว่า การแพร่ระบาดของเชื้อเอชไอวีในชุมชนชายรักร่วมเพศของเอเชียไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ แต่เพิ่งมีจำนวนผู้ติดเชื้อที่พุ่งขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกับเมืองใหญ่ๆ อย่าง ซานฟรานซิสโก ลอนดอน และเบอร์ลิน ช่วงปลายทศวรรษ 80 ซึ่งมีปริมาณผู้ติดเชื้อพุ่งสูงสุด

 

          ปัจจัยที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดเพิ่มขึ้นมีอยู่หลายประการ รวมถึงการขาดเงินทุนสนับสนุนสำหรับโครงการต่างๆ ที่มุ่งเป้าไปยังกลุ่มชายรักร่วมเพศ และข้อเท็จจริงที่ว่ามีประชากรกลุ่มใหม่ที่แทบจะไม่ตระหนักถึงความเสี่ยงในการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน อันสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อเอชไอวีในเอเชีย

 

          “ผลการศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้ แสดงให้เห็นว่า เมืองใหญ่หลายเมืองในเอเชีย ไล่ตั้งแต่กรุงเทพมหานคร ไปจนถึงนครโฮจิมินห์ซิตี้ มีการแพร่ระบาดของเชื้อเอชไอวีในกลุ่มชายรักร่วมเพศเพิ่มขึ้นมาก” รายงานระบุ พร้อมเสริมว่า อัตราการติดเชื้อเอชไอวีของกลุ่มชายรักร่วมเพศในเมืองอื่นๆ อย่าง เชนไน และมุมไบของอินเดีย นอกเหนือจากกรุงจาการ์ตา อินโดนีเซีย ก็อยู่ในระดับสูงเช่นกัน ซึ่งชายรักร่วมเพศในประเทศเหล่านี้มักถูกรังเกียจจากสังคม และถูกเลือกปฏิบัติในการรักษาพยาบาล ทำให้พวกเขาไม่กล้าเข้ารับข้อมูล หรือการตรวจ

 

 

 

 

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

 

 

update: 31-07-51

 

 

Shares:
QR Code :
QR Code