ยุทธศาสตร์เมืองสู่ความยั่งยืน “นครเเวนคูเวอร์” (ตอนที่ 1)

 

“นครแวนคูเวอร์” ได้ชื่อว่าเป็นเมืองเขียวและเมืองน่าอยู่อันดับต้นๆ ของโลก  ปัจจัยที่ทำให้แวนคูเวอร์พัฒนาจนปัจจุบันเนื่องจากการสร้างแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาที่มีความเด่นชัด และการสร้างประสิทธิภาพในการปฎิบัติตามแผนโดยการนำการเติบโตอย่างชาญฉลาด(smart growth)ผสมผสานกับแนวคิดการสร้างสภาพแวดล้อมเมืองเพื่อความยั่งยืนซึ่งได้แปรสภาพเป็นกฎบัตรความหนาแน่นนิเวศเมืองแวนคูเวอร์(vancouver ecodensity charter) ที่เป็นแนวทางหลักสำหรับการสร้าง vancouver greenest city ในเวลาต่อมา  เนื่องจากบทความมีความยาวมาก   ดังนั้นจึงได้แยกออกเป็น 2 ตอน  โดยตอนที่ 1  จะได้สรุปความหมายและพัฒนาการ  รวมทั้งนำเสนอรายละเอียดนโยบาย 8 แกนหลักสู่เมืองที่ยั่งยืน  ส่วนบทความตอนที่ 2  จะได้ชี้ให้เห็นรายละเอียดกฎบัตรพร้อมทั้งวิธีปฎิบัติที่ดีในการสร้างความตกลงร่วมของทุกภาคส่วนเพื่อยกระดับสภาพแวดล้อมและสร้างเมืองให้น่าอยู่  ซึ่งสาระสำคัญที่จะกล่าวต่อไปนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการประยุกต์ใช้สำหรับประเทศในกลุ่มเอเซียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศไทยต่อไป

ความหมายและพัฒนาการ ของ ecodensity นครแวนคูเวอร์เป็นเมืองต้นแบบที่นำตามเกณฑ์การเติบโตอย่างชาญฉลาดประยุกต์ใช้ในการวางแผนยุทธศาสตร์ด้วยความร่วมมือของ smart growth b.c และ the university of british columbia  ซึ่งได้นำนโยบายการเพิ่มความหนาแน่น (density creation policy)จากเกณฑ์การใช้ประโยชน์ที่ดินแบบผสมผสาน (mix land used) ลงสู่การปฎิบัติเพื่อลดรอยเท้าทางนิเวศ (ecological footprint)  หรือลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติจากการดำเนินชีวิตประจำวัน  

ทั้งนี้  ในปี ค.ศ.2006 นครแวนคูเวอร์มีประชากรประมาณ 2.1 ล้านครัวเรือนและขนาดรอยเท้าทางนิเวศเท่ากับ 6.7 แฮกต้าร์ต่อจำนวนประชากร (gha per capita) ซึ่งการใช้นโยบายการเพิ่มความหนาแน่นประชากร จะมีประสิทธิภาพสูงสุดในการลดขนาดรอยเท้าทางนิเวศลงได้ ดังตัวอย่างกลยุทธ์ที่นำมาใช้เช่น  การลดความจำเป็นในการเดินทางการลดการกระจัดกระจายของเมืองและโครงสร้างพื้นฐานซึ่งสามารถลดค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างและการบำรุงรักษา  ในขณะเดียวกันยังเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ที่ดินในเขตชุมชนที่มีอยู่แล้วให้มีความคุ้มค่ามากยิ่งขึ้นด้วยการลด พื้นที่พักอาศัยต่อหน่วย  เพิ่มความกระชับอาคารและใช้นโยบายการเลือกทำเลที่ตั้งที่พักอาศัยให้ผสมผสานกับร้านค้า โรงเรียน หน่วยบริการสาธารณสุข และหน่วยบริการชุมชนทำให้เกิดความสะดวกในการส่งเสริมการเดิน การใช้จักรยาน และการใช้ระบบขนส่งมวลชนเพื่อ เชื่อมต่อระหว่างชุมชน  ทั้งนี้  นครแวนคูเวอร์เชื่อว่าหากดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวจะสามารถลดปริมาณรอยเท้าทางนิเวศลงและช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตประชาชนภายใต้สภาพสิ่งแวดล้อมที่มีความสมบูรณ์ 

กฎบัตรความหนาแน่นนิเวศเมืองนครแวนคูเวอร์ได้รับการกล่าวถึงครั้งแรกในปี ค.ศ.2006 ด้วยการประกาศของคณะผู้บริหารเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันและยืนยันที่จะร่วมการพัฒนาสภาพแวดล้อมเมืองด้วยการวางแผนและการตัดสินใจตามเป้าหมายสู่ความเป็นเมืองที่ยั่งยืน ทั้งนี้ได้กำหนดการพัฒนาที่พักอาศัยที่ประชาชนทุกระดับรายได้สามารถเข้าถึง (affordable housing) และการสร้างชุมชนที่น่าอยู่ (liveability)  ทั้งนี้  การปฏิบัติที่เด่นชัดเริ่มขึ้นในเดือนมิถุนายนปี ค.ศ. 2008 หลังจากสภานครแวนคูเวอร์ได้ให้การรับรองกฎบัตรอย่างเป็นทางการซึ่งนำมาสู่การกำหนดแนวทางการปรับปรุงฟื้นฟูเมืองจาก 2 กลุยทธ์ได้แก่  การทบทวนนโยบายการจัดย่านการใช้อาคารเขียว (rezoning policy for greener building) และการทบทวนนโยบายการจัดการพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ (rezoning policy for greener larger sites)

นโยบาย 8 แกนหลักสู่เมืองที่ยั่งยืน นครแวนคูเวอร์ได้กำหนดเป้าหมายการพัฒนาสู่เมืองยั่งยืนด้วย 8 แกนหลัก ดังนี้

1.  ชุมชนแห่งการเดินที่มีความสมบูรณ์ (a complete, walkable community) ชุมชนที่มีความสมบูรณ์หมายถึง ชุมชนที่มีกายภาพการเชื่อมต่อภายในที่ดี  เป็นย่านที่มีการใช้ประโยชน์ที่ดินและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ผสมผสาน  มีส่วนผสมของที่พักอาศัย ที่ทำงาน  แหล่งนันทนาการ และสถานที่ศึกษาที่ตั้งอยู่ในระยะการเดินถึง  และสามารถเข้าถึงสถานีขนส่งมวลชนและตลาดสดด้วยความสะดวกด้วยทางเดินและทางจักรยาน  ในขณะเดียวกันพื้นที่รอบนอกที่เป็นขอบเขตชุมชนมีสภาพเป็นแหล่งเกษตรกรรมและพื้นที่ธรรมชาติ สำหรับที่พักอาศัยควรมีหลากหลายรูปแบบและระดับราคา  ในการออกแบบกายภาพชุมชนที่มีความสมบูรณ์ต้องยึดถือลักษณะการจัดวางอาคารให้มีความกระชับ ให้กลุ่มอาคารมีหน้าที่ในการตอบสนองการเพิ่มมวลคนเดินและความมีชีวิตชีวาของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ

2.  ระบบการคมนาคมและขนส่งที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (a low-impact transportation system) ชุมชนที่มีความยั่งยืนต้องใช้นโยบายลดความจำเป็นในการครอบครองรถยนต์ และลดความจำเป็นในการเดินทาง   ในขณะเดียวกันควรมีทางเลือกในการเดินทางที่หลากหลายโดยมีระบบขนส่งมวลชนเป็นทางเลือกหลักของประชาชน  มีการกำหนดที่ตั้งของสถานที่ จอดรถในเชิงควบคุมการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลพร้อมการออกแบบกายภาพถนนให้จำกัดปริมาณที่จอดรถยนต์  ใช้แนวทางการออกแบบของ leed nd ซึ่งกำหนดความสำคัญในการเชื่อมต่อภายในชุมชนด้วยทางเดินและทางจักรยาน และเชื่อมต่อระหว่างย่านด้วยระบบขนส่งมวลชน  โดยรถยนต์ส่วนบุคคลมีความสำคัญอยู่ในอันดับสุดท้าย การเพิ่มคุณภาพสิ่งแวดล้อมในทางสัญจรด้วยต้นไม้ใหญ่ การลดปริมาณพื้นที่ดาษแข็งซึ่งช่วยลดการเพิ่มปริมาณและความแรงของกระแสน้ำบนผิวทาง  การเพิ่มพื้นที่สีเขียว คลุมดินซึ่งช่วยลดปริมาณน้ำและความรุนแรงของการไหลบ่า  สร้างมาตรฐานการขนส่งสาธารณะให้มีความสัมพันธ์กับความหนาแน่นประชากร เช่น  ความหนาแน่นไม่น้อยกว่า 7 ครัวเรือนต่อเอเคอร์สำหรับรถบัสขนส่งมวลชน 1 คันในทุกๆ  30 นาที หรือเพิ่มความถี่การให้บริการของรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนทุก 10-15 นาทีสำหรับความหนาแน่น  20-40 ครัวเรือน เป็นต้น

3. อาคารเขียว (green building)  อาคารโดยทั่วไปสามารถใช้งานได้ระหว่าง 50 ถึง 100 ปี      ดังนั้นจึงต้องออกแบบให้มีผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมน้อยที่สุด  แนวทางที่ยั่งยืนสำหรับนครแวนคูเวอร์คือการใช้เกณฑ์การออกแบบอาคารเขียวของ usgbc โดยการออกข้อกำหนดให้อาคารสร้างใหม่เข้าสู่ระบบการจัดอันดับตามระบบของ leed  ส่วนอาคารที่มีอยู่เดิมให้ปรับปรุงส่วนประกอบเพื่อลดการใช้พลังงานให้มากที่สุด  สำหรับโปรแกรมการใช้ประโยชน์อาคารเน้นส่งเสริมการอยู่อาศัยของครอบครัวขยายซึ่งมีความคุ้มค่าในการใช้พื้นที่อาคารและการใช้พลังงาน  นอกจากนั้น  ครอบครัวขยายจะช่วยเพิ่มปริมาณความหนาแน่นของประชากรในพื้นที่ชุมชนได้อีกทางหนึ่งด้วย 

4.  ที่โล่งที่มีความยืดหยุ่น (flexible open space) เพื่อทดแทนพื้นที่ดาษแข็งที่สูญเสียไปจากการก่อสร้างอาคารที่กระชับและกลุ่มของอาคาร ดังนั้นเมืองจึงต้องส่งเสริมให้เกิดที่โล่งสาธารณะประเภทต่างๆ ให้    มาขึ้น  เช่น  สวนสาธารณะ  สวนชุมชน  พื้นที่สีเขียวทั้ง ที่เป็นหลังคาเขียว  ที่โล่งระหว่างอาคาร  สวนเกษตรในเมือง หรือแม้แต่พื้นที่การเกษตรที่ทำหน้าที่กำหนดขอบเขตให้กับชุมชน  ทั้งนี้ ควรสร้างที่โล่งให้กระจายทั่วทั้งชุมชน  โดยขนาดและรูปแบบสามารถยืดหยุ่นให้มีความสอดคล้องกับลักษณะกายภาพของแต่ละพื้นที่  ที่โล่งดังกล่าวต้องออกแบบปรับปรุงให้เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าขนาดเล็กที่ช่วยสร้างความสมดุลในระบบนิเวศ  เป็นสถานที่รองรับการเก็บสำรองและการซึมซาบน้ำฝน  ลดการไหลบ่าและความแรงของกระแสน้ำ  เพิ่มพื้นที่สีเขียว และเป็นแหล่งนันทนาการชั้นดีให้กับประชาชน 

5. โครงสร้างพื้นฐานเขียว (green infrastructure) ได้แก่โครงสร้างพื้นฐานเมืองที่ไม่ทำลายสภาพแวดล้อมถือเป็นส่วนประกอบสำคัญของเมืองยั่งยืน  นครแวนคูเวอร์ต้องออกข้อกำหนดให้เกิดการหมุนเวียนการใช้พลังงาน  การจัดการน้ำฝน  การบำบัดน้ำเสีย  การจัดการขยะ  และการใช้สาธารณูปการที่มีประสิทธิภาพ  ประหยัดการใช้ทรัพยากร  ในพื้นที่ที่รัฐฯ มีนโยบายส่งเสริม ให้เกิดความชุมชนกระชับนั้น  รัฐฯ สามารถลงทุนสร้างสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกได้อย่างคุ้มค่า  มีค่าใช้จ่ายการลงทุนร่วมและการซ่อมบำรุงน้อยกว่าการลงทุนในพื้นที่กระจัดกระจาย  นอกจากนั้น  ผลประโยชน์อีกด้านหนึ่งของชุมชนที่มีความหนาแน่นได้แก่ ปริมาณที่มากของน้ำทิ้งและขยะที่สามารถรวบรวมได้ในพื้นที่กระชับจะมีความคุ้มค่าในการจัดการทั้งการนำมาใช้ใหม่  การหมุนเวียนและการกำจั

6. ระบบอาหารเพื่อสุขภาพ (healthy food system)  นครแวนคูเวอร์ต้องสร้างความสัมพันธ์ระหว่างระบบการผลิตอาหาร  การกระจายผลิตภัณฑ์อาหาร และการสร้างกระบวนการอาหารปลอดภัยให้เกิดขึ้นภายในชุมชน  โดยระบบการผลิตอาหารไม่ว่าจะเกิดจากแปลงเกษตรของเกษตรกรหรือจากสวนเกษตรในเมืองจะต้องมีส่วนในการสร้างเสริมคุณค่าที่ครบถ้วนของสารอาหาร  การลดการใช้สารเคมีในกระบวนการผลิต การควบคุมการปนเปื้อน  และการสร้างระบบการจัดเก็บที่ไม่ทำให้คุณค่าของอาหารลดลง  ส่วนการกระจายสินค้านั้น  ในการวางผังและออกแบบเมือง  นอกจากจะส่งเสริมให้เกิดความหนาแน่นในพื้นที่ของชุมชนและการกำหนดให้มีปริมาณร้านอาหารและตลาดสดให้พอเพียงต่อความต้องการของประชาชนภายในย่านแล้ว  ยังต้องคำนึงถึงทำเลที่ตั้ง  ที่สะดวกในการเข้าถึงด้วยการเดินและการใช้จักรยาน  รวมทั้ง  ความหลากหลายของร้านอาหารท้องถิ่น ตลอดจนร้านค้าปลีกที่มีศักยภาพในการจัดเก็บและกระจายอาหารที่มีคุณภาพแก่ประชาชนอีกด้วย  

7. โครงสร้างชุมชนและโปรแกรม (community facilities and program) ในการวางผังและออกแบบชุมชน  นครแวนคูเวอร์ต้องคำนึงถึงโครงสร้างทางกายภาพที่ช่วยให้เกิดความสะดวกในการเข้าถึงหน่วยบริการสำคัญทั้ง โรงเรียน  ตลาดสด  ร้านค้าปลีก  สถานที่สำคัญทางศาสนา  สถานีขนส่งมวลชน  ศูนย์สาธารณสุข  สนามกีฬา  และหน่วยบริการชุมชน  โดยกายภาพทั้งหมดที่ออกแบบต้องสร้างขึ้นเพื่อกระตุ้นการให้เกิดรูปแบบการใช้ชีวิตที่ส่งเสริมสุขภาพ (healthy style) ซึ่งได้แก่  โอกาสการเข้าถึงสถานที่สำคัญซึ่งใช้เป็นกิจวัตรด้วยกิจกรรมทางกายกายเช่น  ทางเดินและทางจักรยาน  นอกจากนั้น โครงสร้างทางกายภาพต้องสร้างขึ้นเพื่อส่งเสริมให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีของสมาชิกภายในชุมชน  กระตุ้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และองค์ความรู้พร้อมทั้งความร่วมมือในการพัฒนาชุมชนให้เกิดความยั่งยืน  ทั้งนี้  ในสถานที่สาธารณะทุกแห่งภายในชุมชนจะต้องได้รับการออกแบบให้เป็นสถานที่ที่มีความงดงาม  มีคุณภาพระดับสูงและมีศักยภาพในการดึงดูดให้ประชาชนใช้พื้นที่ร่วมกัน

8. การพัฒนาเศรษฐกิจ (economic development) ชุมชนที่ยั่งยืนด้วยความหนาแน่นของนิเวศเมืองจะเป็นชุมชนที่มีศักยภาพในการจูงใจและดึงดูดให้เกิดการลงทุน การขยายตัวทางเศรษฐกิจ การเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพของประชาชน และสร้างความมั่งคั่งให้กับชุมชน ทั้งนี้ การวางผังและออกแบบเมืองที่ดีจะเป็นปัจจัยพื้นฐานสำหรับการพัฒนาทางเศรษฐกิจซึ่งสามารถนำพามวลของแรงงานที่สนับสนุนการผลิตสินค้าและบริการซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการของชุมชนอย่างครบถ้วนสมบูรณ์   

 

 

ที่มา : มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) โดย นักวิชาการผังเมือง อ.ฐาปนา บุณยประวิตร

 

 

Shares:
QR Code :
QR Code