ยุทธศาสตร์ปลอดแอลกอฮอล์
การควบคุมอัตราการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือการรณรงค์ให้พื้นที่ต่างๆ เป็นเขตปลอดเหล้า รวมทั้งการสร้างจิตสำนึกให้กับเยาวชนคนรุ่นใหม่ให้ห่างไกลจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ได้เป็นเป้าหมายของการทำงานด้านสุขภาวะที่เกิดขึ้นใน ประเทศไทยเท่านั้น แต่ปัญหาที่เกิดจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยังส่งผลสะเทือนไปทั่วโลกจนทำให้นานาชาติที่มองเห็นอันตราย ที่เกิดจากภาวะ
แอลกอฮอล์คุกคาม และคืบคลานเข้ามาทำลายโครงสร้างทางสังคม และสุขภาพ จับมือกัน แลกเปลี่ยนความคิดมองหาทางออก และช่วยกันรณรงค์ให้โลกเป็นพื้นที่สีขาว จำกัดบริเวณ จำกัดอายุ และส่งเสริมให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ห่างไกลจากเครื่องดื่มมึนเมา
ประเทศไทย ได้ใช้โอกาสในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมนโยบายแอลกอฮอล์โลก ครั้งที่ 1 เมื่อปีที่ผ่านมาในการส่งสัญญาณ และแสดงจุดยืนในการวางแนวทางจัดการ รวมทั้งเชิญนักวิชาการ เข้ามาแลกเปลี่ยนความคิด เสนอทางออกที่ละมุนละม่อม ซึ่งอาจนำไปสู่การวางกรอบข้อตกลงร่วมกันในการควบคุมการบริโภคแอลกอฮอล์ได้ในอนาคต โดยความสำเร็จจากเวทีแรก ที่มีผู้เข้าร่วมการประชุมกว่า 1,600 คนนั้น นำไปสู่การจัดการประชุมนานาชาติอีกเป็นวาระที่ 2 ที่เกาหลีใต้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ศ.นพ.อุดมศิลป์ ศรีแสงนาม ที่ปรึกษาคณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และกรรมการเครือข่ายนโยบายแอลกอฮอล์โลก หรือ กาปา กล่าวว่า การประชุมในครั้งนี้ต้องการรณรงค์ สนับสนุนยุทธศาสตร์ขององค์การอนามัยโลกในเรื่องแอลกอฮอล์ ซึ่งถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นสำคัญเมื่อปี 2010
ในงานประชุมดังกล่าวมีการแลกเปลี่ยนในเชิงประสบการณ์ และวิชาการ ของแต่ละประเทศ ในด้านนโยบายที่นำมาใช้ในการ ลด ละ เลิก เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งองค์ความรู้จากนโยบายสาธารณะของประเทศไทยในด้านนี้ก็ถูกถ่ายทอดสู่ผู้เข้าร่วมประชุมจากนานาชาติ นอกจากนั้น ยังมีการยกตัวอย่างเกี่ยวกับสถิติ และผลเสียที่เกิด จากแอลกอฮอล์ ทั้งในด้านสุขภาพ สังคม และครอบครัว อีกทั้งยังมีการนำเสนอกลยุทธ์เบื้องหลังการขายที่แยบยลจากนักการตลาดของบริษัทผู้ผลิตเครื่องดื่มมึนเมาเหล่านี้ เพื่อให้ผู้บริโภคได้ตระหนัก และรู้เท่าทัน
และท้ายที่สุด ในที่ประชุม ที่กรุงโซล เกาหลีใต้ ได้มีการออก “ปฏิญญาโซล” 13 ข้อ เรียกร้องถึงรัฐบาลประเทศต่างๆ อาทิ ให้สนับสนุนการสร้างความเข้มแข็ง และบูรณาการเรื่องแอลกอฮอล์เป็นวาระแห่งชาติ ในมาตรการด้านการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เพิ่มประสิทธิผลสูง เช่น การควบคุมการเข้าถึง การโฆษณา และ ส่งเสริมการขาย มาตรการด้านราคา, ให้มีการสนับสนุนด้านการเงินในการทำงานด้านแอลกอฮอล์ และให้นำภาษีแอลกอฮอล์มาใช้ในการทำงานป้องกันผลกระทบจากการดื่ม
ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ รองผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) กล่าวว่า พอใจอย่างยิ่งกับการประชุม เนื่องจากมีการนำเสนอผลงานวิชาการที่น่าสนใจมากมาย ทำให้แลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำงานระหว่างกัน สามารถนำไปปรับใช้ในแต่ละประเทศ ที่สำคัญ เกิดการรวมตัวของผู้ที่ทำงานด้านการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากทั่วโลกเป็นเครือข่ายที่เข้มแข็งอีกด้วย
“เรียกได้ว่า การประชุมในครั้งนี้ เป็นการปักหมุดตัวที่ 2 ที่เป็นภาคประชาสังคม หลังจากมีการปักหมุดตัวแรก คือ ยุทธศาสตร์ของ who ซึ่งเป็นการสร้างความเข้มแข็ง ทำให้การขับเคลื่อนเรื่องนี้ ในเวทีระดับโลกมีพลังมากขึ้น จนอาจนำไปสู่การมีกฎหมายระดับโลก ที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในอนาคต”ดร.สุปรีดากล่าว
กิจกรรมที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ สะท้อนให้เห็นว่าการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นปัญหาที่ขยายตัวในระดับนานาชาติ และหน่วยงานด้านสาธารณสุข และสังคมของแต่ละประเทศ กำลังตระหนักรู้ และเริ่มให้ความสำคัญ มองหากลไกในการควบคุม และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของประชาชน โดยมุ่งหวังให้เกิดผลที่เป็นรูปธรรมจากการนำความรู้ที่ได้รับมาจากการถ่ายทอดประสบการณ์ของประเทศเพื่อนบ้านมาปรับใช้
และประเทศไทย ก็เป็นหนึ่งในประเทศต้นแบบที่มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องจากการรณรงค์ส่งเสริมผ่านกิจกรรมรูปแบบต่างๆ มาเป็นเวลาหลายปีด้วยเช่นกัน
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ