ยกระดับไอคิวเด็กไทยก่อนสายเกินแก้
เมื่อการวางรากฐานด้านศึกษาเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สร้างชาติ นโยบายต่างๆ ของภาครัฐ ที่ เรียงหน้ากันออกมาเพื่อยกระดับการศึกษา และมาตรฐานการเรียนรู้ของเด็กไทย หลายปีที่ผ่านมาเยาวชนไทยทำงานกันอย่างหนัก เพื่อปรับตัวให้เท่าทันโจทย์ที่ผู้ใหญ่ในชาติเป็นผู้วางไว้ เพราะมั่นใจว่าเป็นแนวทางที่จะพัฒนาชาติในอนาคต
แต่เมื่อเราลงมาสำรวจอย่างเจาะลึก กลับพบความจริงที่น่าใจหาย เพราะระดับสติปัญญาที่วัดได้จากไอคิว และอีคิว ของเด็กและเยาวชนในบ้านเราในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ไม่ได้เพิ่มสูงขึ้น ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงไป และความเจริญทางวัตถุ เทคโนโลยี และสิ่งที่ผู้ใหญ่เชื่อว่าเป็นปัจจัยซึ่งทำให้ความฉลาดหลักแหลมของเยาวชนเพิ่มมากขึ้น แต่แท้จริงแล้ว ภาพรวมของระดับอีคิว และไอคิว ของเด็กไทยเรายังคงเท่าเดิม “ผลการสำรวจระดับไอคิวของเด็กไทยระหว่างอายุ 6-15 ปีในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร และกระทรวงศึกษาธิการทั่วประเทศในปี 2554 ของกรมสุขภาพจิต พบว่าเด็กไทยหลายหมื่นคนมีไอคิว เฉลี่ยไม่ถึง 100 คะแนน” พญ.พรพันธุ์ บุณยรัตพันธุ์ส.ว.สรรหา ซึ่งเป็นประธานคณะอนุ กมธ. พิจารณาศึกษาปัญหาสุขภาพฯ กล่าวในงานเสวนา ภายใต้ หัวข้อ “สุขภาวะของเด็กไทย : การพัฒนาทาง สติปัญญาเพื่อก้าวไปสู่โลกแห่งการแข่งขัน” ซึ่งจัดขึ้นที่รัฐสภา ร่วมกันกับกระทรวงสาธารณสุข และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส.
ปัญหาไอคิวต่ำของเด็กไทย อาจส่งผลกระทบได้หลายมิติ ตั้งแต่เรื่องการพัฒนาศักยภาพในตัวเด็ก การศึกษา จนกระทั่งยาวไปถึงเรื่องของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ หรือ จีดีพี ซึ่งจะกระทบต่อ ขีดความสามารถในการแข่งขันของชาติในอนาคต
“ที่สำคัญไอคิวต่ำจะส่งผลกระทบด้านการศึกษาด้วยเพราะจะทำให้เด็กๆ เข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษากันน้อยลง” พญ.พรพันธุ์ กล่าว ทางด้านพ. ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ผู้อำนวยการ สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กรมสุขภาพจิตได้เล่าถึงปัจจัยที่จะส่งผลต่อไอคิวของเด็ก 3 ประการ ได้แก่ ภาวะโภชนาการ ปัจจัยจากตัวเด็ก และปัจจัยจากครอบครัวการเลี้ยงดูและสิ่งแวดล้อม โดยพบว่าเด็กที่พ่อแม่มีการศึกษาสูงมีแนวโน้มที่จะไอคิวสูงกว่าเด็กที่พ่อแม่มีการศึกษาน้อยกว่า ในขณะเดียวกันเด็กที่อยู่ในสถานะทางสังคม ที่ดีก็จะมีระดับคะแนนไอคิวประมาณ 119 คะแนน แต่เด็กยากจนจะมีระดับไอคิวเฉลี่ยที่ 100 คะแนน เท่านั้น
“แนวทางแก้ไขทุกหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงสาธารณสุขดูแลเรื่องกาย และใจ กระทรวงศึกษาธิการดูแลเรื่องการศึกษาในโรงเรียน กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดูแลสภาพแวดล้อม เป็นต้น
พูดง่ายๆ คือ ผู้เกี่ยวข้องต้องเข้ามาช่วยเหลือกันตามภารกิจของตัวเองในเชิงบูรณาการ” นพ.ทวีศิลป์ ระบุ
นอกจากนั้น ทุกฝ่ายจะต้องลงมาดูแลเรื่องนี้ อย่างจริงจัง รวมทั้งต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วยเป็นที่ปรึกษา เพื่อจัดสรรทรัพยากรของชาติให้ เหมาะสมกับการพัฒนาสติปัญญาของเหล่าเยาวชนคนรุ่นใหม่
ท่ามกลางที่เรากำลังพูดถึงการเปิดประเทศต้อนรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หากเด็กไทย ไม่ได้รับการพัฒนาและยกระดับความสามารถทาง สติปัญญา เราอาจจะเจอปัญหาตามมาในอนาคตก็เป็นได้
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ