ยกระดับสังคมชุมชน สู่ความมั่นคงของชาติ

การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของชาติ จำเป็นต้องเริ่มตั้งแต่การวางนโยบายเชิงกลยุทธ์ ไปจนถึงขยายผลของการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การส่งเสริมเศรษฐกิจระดับชุมชนท้องถิ่น ซึ่งถือเป็นเศรษฐกิจฐานใหญ่ของประเทศ หรือที่เรียกว่า "เศรษฐกิจฐานราก"


ยกระดับสังคมชุมชน สู่ความมั่นคงของชาติ thaihealth

แฟ้มภาพ


ซึ่งการจะทำให้ประชาชนในชุมชนต่างๆ ทั่วประเทศ มีความเป็นอยู่ ที่ดีขึ้นได้นั้น จำเป็นต้องอาศัยการรวมพลัง และสร้างการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย เพื่อบูรณาการนโยบายทางเศรษฐกิจที่ภาครัฐได้วางไว้ในวันนี้ ให้เกิดผลจริงในเชิงปฏิบัติ


บนเวที "จุดประกายสานพลังประชารัฐ เพื่อเศรษฐกิจฐานราก" ที่ อิมแพคฟอรั่ม เมืองทองธานี เมื่อเร็วๆ นี้ เราได้เห็นการระดมความคิด และพลังไอเดียของนักวิชาการ ข้าราชการ และบุคลากรที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ ในการหาแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังอยู่ในสภาวะซบเซา


ศาสตราจารย์ น.พ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ได้กล่าวถึงยุทธศาสตร์ สานพลังประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากว่า คนไทยต้องรวมตัวกันเพื่อ ให้ประเทศฟื้นจากวิกฤตการณ์ 6 ประการที่มีความเชื่อมโยงกัน อันได้แก่ การเมือง เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ศีลธรรม และการพัฒนาคุณภาพคน ซึ่งเป็นต้นเหตุให้เกิดความวุ่นวายในสังคมและปัญหาดังกล่าวนี้ ไม่มีองค์กรใดสามารถแก้ไขได้โดยลำพัง ทว่าเป็นหน้าที่ของทุกภาคส่วนที่จะร่วมมือกันนำพาให้ประเทศออกจากวิกฤตนี้ให้ได้


ทั้งนี้ หัวใจหลักของการสร้างเศรษฐกิจฐานราก คือ การสร้างสัมมาชีพให้เต็มพื้นที่ วิสาหกิจชุมชน ซึ่งจะต้องมี3ภาคส่วนร่วมมือกัน ไม่ว่าจะ 'ภาคประชาชน' ได้แก่ ปัจเจกบุคคล ชุมชน กลุ่มชมรม มูลนิธิต่างๆ เป็นต้น 'ภาคเอกชน' อย่าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นต้น สุดท้ายคือต้องได้รับความร่วมมือจาก'ภาครัฐ' ได้แก่ รัฐบาล ระบบราชการ องค์กรอิสระ ของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและท้องที่ เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งเรียกแนวคิดความร่วมมือดังกล่าวว่า "สามเหลี่ยมเขยื้อนประเทศ"  ซึ่งหาก 3 ภาคส่วนนี้ ร่วมมือกันก็จะเกิดพลังมากพอที่จะเขยื้อนและแก้ไขปัญหาต่างๆ เพื่อพัฒนาประเทศไทยไปได้อย่างบูรณาการ


เวลาเดียวกับที่ทำการส่งเสริมให้ประชาชนทั้ง77จังหวัด80,000หมู่บ้าน ร่วมกันทำแผนพัฒนาชุมชน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ก็จะสามารถดึงประเทศออกจากวิกฤตการณ์ทั้ง6ด้านนี้ได้


ด้าน นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เล่าถึงยุทธศาสตร์สานพลังประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับรายได้ของประชาชนในระดับท้องถิ่น ด้วยการพัฒนาท้องถิ่นอย่าง รอบด้าน ทั้งด้านการท่องเที่ยวชุมชน การสร้างรายได้ และการสร้างอาชีพ อย่างยั่งยืน ผ่านกลไกกองทุนหมู่บ้าน ตำบลละ5ล้านบาท ซึ่งเหล่านี้เป็นการหว่านเมล็ดให้เกิดโครงการที่ยั่งยืน และวางรากฐานที่มั่นคงให้กับเศรษฐกิจไทยในอนาคต โดยไม่ได้มุ่งเน้นที่ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียวเท่านั้น


ซึ่งเขาเชื่อว่า การที่จะทำให้ประเทศสามารถแข่งขันทางด้านการค้าทั้งใน และต่างประเทศได้นั้น ภาครัฐ เอกชนและประชาชน ต้องผสานความร่วมมือกัน


"วันนี้รัฐบาลประกาศเจตนารมณ์อย่างชัดเจนว่า จะต้องสร้างเศรษฐกิจ รากฐานให้มั่นคง เพื่อให้เศรษฐกิจประเทศไทยยืนได้ด้วยสองขาของตัวเอง ซึ่งเมื่อพิจารณาดีๆ จะพบว่า ทั้ง 3 ภาคส่วน ล้วนมีจุดแข็งแตกต่างกันไป แต่จุดมุ่งหมายคือ ต้องทำให้เกิดการเชื่อมโยงและร่วมกันพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากให้เกิดความมั่นคงต่อไปได้"นายสมคิด กล่าว


ด้าน นางสาวจุฑามณี หามะ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลแว้ง จ.นราธิวาส ได้แสดงความเห็นว่า การที่ทุกฝ่ายได้ร่วมประกาศเจตนารมณ์ สนับสนุนนโยบายเศรษฐกิจฐานรากนั้น นับเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนา คุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน สำหรับ อบต.แว้ง ได้ร่วมจัดแสดงผลิตภัณฑ์ ของชุมชน เช่น ส้มโชกุน ชาเจ๊ะเหม ที่เกิดจากความร่วมมือของคนในชุมชนท้องถิ่น และได้รับการสนับสนุนจาก สสส. ซึ่งจากความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมนี้ ก่อให้เกิดการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้แก่คนในชุมชน ทำให้ผลิตภัณฑ์ชุมชนเป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วไป และเยาวชนยังได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ซึ่งเหล่านี้ ถือเป็นการสร้างกลไกเศรษฐกิจฐานราก ที่มุ่งเน้นให้ประชาชนมีอาชีพที่มั่นคงบนพื้นที่ของตนเอง


หากทุกภาคส่วนได้ร่วมมือกันอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ก็จะนำไปสู่ การเพิ่มขีดความสามารถของสมาชิกในชุมชน ซึ่งเป็นพลังพลเมืองที่สำคัญ ในการสร้างเศรษฐกิจและพัฒนาประเทศชาติอย่างยั่งยืน


 


 


ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ


 

Shares:
QR Code :
QR Code