มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เปิดโปงยา-อาหารเสริม โฆษณาเกินจริง
มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เปิดโปงกลยุทธ์ของ ยา-อาหารเสริม โฆษณาตามเคเบิ้ล เข้าข่ายหลอกลวงประชาชน ซ้ำบางรายไม่ผ่าน อย.
เมื่อวันที่ 26 พ.ค. น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวในการแถลงข่าว “ผลการเฝ้าระวังความปลอดภัยด้านอาหารและการเฝ้าระวังสื่อโฆษณาพร้อมเสนอการแก้ปัญหา” ภายใต้โครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งกลไกการคุ้มครองความปลอดภัยด้านอาหาร ว่า ในการโฆษณาผลิตภัณฑ์อาหารในปัจจุบันพบว่า มีมูลค่าการโฆษณาสูงถึง 16,716 ล้านบาท ในปี 2532-2549 ขณะที่ธุรกิจยาได้ทุ่มงบในการโฆษณาสู่ผู้บริโภคในช่วงปี 2549-2551 สูงกว่า 2.5 พันล้านบาท ต่อปี เพื่อให้สินค้ากลายเป็นที่รู้จักของผู้บริโภค
แต่เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่มักขาดทักษะในการสืบค้นข้อมูล และขาดแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ รวมทั้งขาดความตระหนักในการใช้กฎหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิของตนเอง จึงได้หลงเชื่อไปกับคำกล่าวอ้างของสื่อที่มีการอวดสรรพคุณและสิทธิประโยชน์เกินจริงของสินค้า ทำให้เพิ่มความเสี่ยงในการตกเป็นเหยื่อของสินค้าเพิ่มขึ้น
ดังนั้นมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จึงได้ร่วมกับองค์กรผู้บริโภคใน 15 จังหวัดทั่วประเทศ ได้แก่ กาญจนบุรี สมุทรสงคราม ราชบุรี ตราด สระบุรี ขอนแก่น ร้อยเอ็ด ลำปาง พะเยา เชียงราย เชียงใหม่ สุราษฏร์ธานี ตรัง และสตูล ดำเนินการเฝ้าระวังเกี่ยวกับการโฆษณาผลิตภัณฑ์ในสื่อทุกประเภท
นายเทพรักษ์ บุญรักษา เจ้าหน้าที่รับเรื่องร้องเรียน ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค สมาคมผู้บริโภค จ.ขอนแก่น กล่าวว่า จากการติดตามโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพต่างๆ ในสื่อวิทยุชุมชนจำนวน 4 คลื่น ได้แก่ คลื่น 94.25 mhz บิ๊กเอฟเอ็ม และ fm 105 .25 mhz , 88.75 mhz , และ 90.60 mhz ในวันที่ 24,26 และ 29 เม.ย. 2554 พบว่า มีการโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพรวม 27 ชิ้น วนซ้ำทั้งวันอย่างน้อยวันละ 4 ครั้ง ต่อชิ้น ได้แก่ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง เครื่องดื่มชนิดต่างๆ ทั้งยาสมุนไพรและกาแฟ รวมทั้งอาหารเสริมชนิดต่างๆ นอกจากนี้ยังพบว่าบางชนิดมีการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อเคเบิ้ลทีวีไปในลักษณะเดียวกันด้วย
“ในผลิตภัณฑ์ทั้งหมดที่มีกว่า 27 ชิ้น นั้นพบว่ามีจำนวน 14 ชิ้นที่เข้าข่ายน่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาหรือ อย. เนื่องจากมีการอวดอ้างสรรพคุณทางการบำบัดรักษาทั้งที่เป็นแค่อาหารเสริมเท่านั้น
ขณะที่การโฆษณายานั้นมีการอวดอ้างชื่อบุคคลมารับรองคุณภาพสินค้า ยกย่องประสิทธิพลที่ดูเกินจริง โดยมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีกที่ไม่พบข้อมูลเช่นกัน ซึ่งไม่แน่ว่า อาจจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่เลียนแบบยี่ห้อซึ่งมีการจดทะเบียนถูกต้องหรือไม่ อย่างไร หรือเลขทะเบียนหมดอายุแล้วยังไม่มีการต่อทะเบียน ซึ่งส่วนนี้อยากให้ อย.มีการตรวจสอบด้วย”นายเทพรักษ์ กล่าว
ด้าน นางอาภรณ์ อะทาโส ผู้จัดการสมาคมผู้บริโภค จ.ร้อยเอ็ด กล่าวว่า จากปัญหาการโฆษณาที่แอบอ้างนี้ส่งผลให้เกิดผลกระทบกับผู้บริโภค ที่ตกเป็นเหยื่ออย่างมาก ล่าสุดเกิดขึ้นกับ ประชาชน จ.ร้อยเอ็ด ที่หลงซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารน้ำสมุนไพรมาดื่มแล้วเกิดความเสียหายด้านสุขภาพ จนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ถึง 4 ราย รายแรกมีอาการปวดต้นคอ เมื่อยล้า อ่อนเพลีย เข้ารักษาในโรงพยาบาลนาน 2 เดือน
ส่วนรายที่สอง มีโรคประจำตัวคือ พาร์กินสัน พบว่า อาการหนักขึ้นหลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ และรายที่ สาม เป็นโรคไทรอยด์ พบว่ามีอาการอ่อนเพลีย เมื่อไปพบแพทย์พบว่าป่วยเป็นโรครูมาตอยด์เพิ่มขึ้นมา และในรายสุดท้ายเป็นโรคกระดูกพรุน มีอาการปวดตามข้อ จึงหยุดกินหลังจากซื้อมารับประทานแล้ว 1 ขวด โดยผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีราคาสูงถึงขวดละ 1,400 บาท ซึ่งส่วนมากมักจะขายตรงและผ่านการโฆษณาของสื่อในชุมชน
ขณะที่ นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการ อย.กล่าวว่า บทลงโทษในการเผยแพร่อาหารและยา ซึ่งไม่ได้รับการอนุญาตจาก อย.นั้นหากมีการตรวจสอบว่าผิดจริงจะมีบทลงโทษอยู่ที่ จำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 10,000 บาท
อย่างไรก็ตามในส่วนของผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ทางมูลนิธิผู้บริโภคได้ช่วยกันเฝ้าระวังนั้น อย.จะเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยเร็ว แต่คงต้องยอมรับว่า ยากที่จะควบคุม เนื่องจากการคุมโฆษณาผ่านสื่อต่างๆ นั้น เราต้องร่วมมือกับหน่วยงานอื่นๆ เช่น คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เพื่อเฝ้าระวังให้เข็มงวดยิ่งขึ้น แต่ในส่วนของการอ้างสรรพคุณยา และอาหารเสริมที่ไม่ได้รับอนุญาตนั้น อย.จะดำเนินการตรวจสอบโดยเร็ว แต่เบื้องต้นขออย่าให้ประชาชนหลงเชื่อ การอวดอ้าง
ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน