มะเร็งปากมดลูกหญิงไทยต้องตายวันละ 14 คน!!

 

 

ท่านผู้อ่านที่เคารพเมื่อได้เห็น หัวเรื่องในวันนี้อาจจะตกอกตกใจโดยเฉพาะผู้หญิงไทย  ซึ่ง “ปานมณี”  ขอบอกว่า  ที่ตั้งชื่อออกมาแบบนั้น ไม่ใช่จินตนาการเพ้อฝัน  แต่เป็น ข้อมูลจริง จากนักวิชาการที่ เชี่ยวชาญทางด้าน มะเร็งปากมดลูก เพราะฉะนั้น “ต้องอ่าน” เรื่องนี้ทันที ก่อนที่คุณจะฟังใครเขาไม่รู้เรื่อง(ตาย)

สถานการณ์มะเร็งปากมดลูกวันนี้ ถือเป็นภัยคุกคามผู้หญิงอย่างมาก แม้ว่าอัตราการเกิดจะเป็นลำดับ 2 แต่อัตราการตายกลับมาเป็นลำดับ 1 และมีการคาดการณ์ว่า หากยังไม่มีมาตรการใดๆจะมีอัตราการตายเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 17 คน ในช่วงเวลา 4 ปี ถือเป็นความสูญเสียที่ต้องเร่งแก้ปัญหาทันที ทันควัน

สาเหตุของการเกิดมะเร็งปากมดลูก ปัจจุบันทราบว่า เกิดจากติดเชื้อไวรัสหูด หรือ Human Pappilloma Virus (HPV) ซึ่งเป็นเชื้อที่ติดจากเพศชาย สามารถป้องกันด้วยการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ และยังพบว่ามีความสัมพันธ์กับการสูบบุหรี่อีกด้วย

ปัจจุบันถือว่า ผู้หญิงไทยมีความตื่นตัวในเรื่องการตรวจคัดกรองเพื่อป้องกันมะเร็งปากมดลูกดีขึ้นจากช่วง 5 ปีที่ผ่านมาอัตราการตรวจคัดกรองเพิ่มขึ้นจาก 20% เป็น 70% ในปี 2552  โดยวิธีการคัดกรองถือว่าเป็น 1 ในมาตรการที่ได้ผลในการป้องกันและลดความสูญเสีย เพราะมะเร็งปากมดลูกสามารถรักษาให้หายขาดได้ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระยะของโรค หากพบมะเร็งในระยะเริ่มต้น การรักษาคือ การผ่าตัด ซึ่งจะมีโอกาสหายและมีชีวิตเกินกว่า 5 ปี สูงถึง 92%

นอกจากวิธีการตรวจคัดกรอง ที่ปัจจุบัน มี 3 วิธี คือ อย่างแรก  เป็นการตรวจหาเซลล์ที่ผิดปกติ หรือ แป๊ปสเมียร์ (Pap Smear)อย่างที่สอง  เป็นการตรวจหาความผิดปกติของปากมดลูกด้วยวิธี VIA (visual inspection with acetic acid)  และอย่างที่สาม  เป็นการตรวจหาเชื้อ HPV ด้วยวิธีการ HPV DNA testing เป็นวิธีที่แม่นยำที่สุด แต่ปัจจุบันเมืองไทยยังไม่ใช้วิธีนี้อย่างแพร่หลายเนื่องจากต้นทุนของเทคโนโลยีราคาแพง ซึ่งทั้ง 3 วิธีถือเป็นวิธีที่ได้รับการยอมรับว่าสามารถตรวจหาเพื่อรักษาได้ทันทีทันควัน

นอกจากนี้ ยังมีการป้องกันที่หลายประเทศเริ่มให้การยอมรับมากขึ้น คือ การฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก หลายประเทศเริ่มมีการจัดวัคซีนมะเร็งปากมดลูกเป็นวัคซีนพื้นฐาน เช่นสหรัฐอเมริกา ให้แก่เด็กอายุ 12-16 ปี อังกฤษ อายุ 12-18 ปีประเทศแถบยุโรป อายุ 12-15 ปี มาเลเซีย 13 ปี เวียดนาม กำลังอยู่ระหว่างการศึกษา

สำหรับประเทศไทย วาระดังกล่าวถือเป็นหัวข้อที่ทุกฝ่ายกำลังเร่งหาข้อสรุปเพื่อให้ได้ผลดีที่สุดแก่ประชาชน โดยเมื่อเร็วๆ นี้คณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โดยคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาปัญหาสุขภาพของคนไทยและปัจจัยที่เกี่ยวข้องร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข สมาคมแพทย์สตรีแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) จัดงานเสวนา “มะเร็งปากมดลูก รู้เท่าทัน ผลักดันสู่นโยบาย” เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการป้องกันรักษา

ดร.ภญ.นัยนา ประดิษฐ์สิทธิกร นักวิจัยโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP) เปิดเผยผลการวิเคราะห์ต้นทุนค่าใช้จ่ายในการป้องกันมะเร็งปากมดลูก ว่า เปรียบเทียบระหว่างการตรวจคัดกรองด้วยวิธีแป๊ปสเมียร์ (Pap Smear) การใช้กรดน้ำส้มสายชูเจือจาง หรือ วีไอเอ (VIA) และการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัส HPV พบว่า ถ้าไม่มีการฉีดวัคซีนและไม่ตรวจคัดกรองเลยรัฐจะต้องเสียเงินเฉลี่ย 3,820 บาท/หญิง 1 คน หากว่า ถ้าตรวจคัดกรองโดยวิธีแป๊ปสเมียร์ (Pap Smear) ครอบคลุม 80% ค่ารักษาเฉลี่ยต่อหญิง 1 คนจะลดลงเป็น 2,540 บาท/คน และถ้าจะฉีดวัคซีนป้องกัน HPV และตรวจคัดกรองครอบคลุม 70% ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยจะเหลือ 2,000 บาท/คน โดยการลงทุนด้านการป้องกันที่เพิ่มขึ้นจะช่วยลดอัตราการตายลงด้วย

พญ.พรพันธุ์  บุณยรัตพันธุ์ ประธานคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาปัญหาสุขภาพของคนไทยและปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ในคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา กล่าวว่า จากข้อมูลของHITAP  นำไปสู่การเสนอแนวทางเพื่อการป้องกันและควบคุมโรคมะเร็งปากมดลูก ซึ่งจะมีการนำเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำไปสู่การพิจารณาจัดหามาตรการที่ดีที่สุด โดยมีข้อเสนอ คือ รัฐบาลควรกำหนดนโยบายตามกลุ่มอายุ ดังนี้ 1.กลุ่มอายุ 30-45 ปีขึ้นไปต้องได้รับบริการตรวจแป๊ปสเมียร์ / VIA ทุก 5 ปี  2.กลุ่มอายุ45 ปีขึ้นไป ได้รับการตรวจคัดกรองด้วยวิธีแป๊ปสเมียร์ทุก 5 ปี และกลุ่มเสี่ยง (มีปัจจัยเสี่ยง) ควรได้รับการตรวจทุกปีด้วย Pap Smear หรือ HPV DNA Typing  และ 3.กลุ่มอายุ 12-19 ปี ควรได้รับวัคซีนพื้นฐานทุกคน ซึ่งคิดอยู่บนพื้นฐานว่าวัคซีนสามารถป้องกันได้10-20 ปี และคำนวณราคาวัคซีนบนฐานที่ ราคาวัคซีนอยู่ที่ 198 บาทต่อเข็ม ซึ่งมีแนวโน้มเป็นไปได้ทั้งแง่การจัดหางบประมาณ และการจัดหาวัคซีนในราคาดังกล่าว

น.ส.ณัฐยา บุญภักดี ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมสุขภาวะทางเพศ สสส. เปิดเผยผลการสำรวจกลุ่มตัวอย่างอายุ 15-50 ปีเพื่อทราบถึงทัศนคติในการเข้ารับบริการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูก ก็พบว่ากลุ่มที่รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับมะเร็งปากมดลูกเป็นกลุ่ม อายุ 31-40 ปี ในขณะที่วัยรุ่นรับทราบน้อย ซึ่งกลุ่มที่เข้ารับการคัดกรองมากที่สุด คือ กลุ่มอายุ 41-50 ปี โดยเหตุผลเรื่องความอาย อยู่ที่ 21.3% ถือว่าดีขึ้นจากในอดีตมาก ส่วนมากที่ไม่รับการตรวจจะระบุว่า ยังไม่มีอาการผิดปกติอยู่ที่ 66.3% ทั้งนี้ โรคมะเร็งปากมดลูก จะเกิดขึ้นจากการรับเชื้อไวรัส และใช้เวลาในการฝักตัวเป็นสิบๆ ปี ฉะนั้น การตรวจในระยะเวลาที่สม่ำเสมอยังถือเป็นความจำเป็น

สำหรับ การฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก ซึ่งจัดเอาไว้เป็นวัคซีนพื้นฐาน ที่มีความจำเป็นอย่างสูงสำหรับการป้องกันการเป็นมะเร็ง  จึงน่าจะเป็นทางออกที่ ง่าย ได้ผล ประหยัด และสบายใจ ซึ่งเรื่องนี้ ฝ่ายที่เกี่ยวข้องคงต้องรีบชั่งผลดี ผลดีเสียอย่างจริงจัง และ รวดเร็ว  เพราะการกระทำดังกล่าวนี้ ผลประโยชน์ที่ได้รับกันเต็มๆ ก็คือผลประโยชน์ของประชาชนคนไทยนั่นเอง

ก็ฝากไว้กับรัฐบาลชุดใหม่นี้ด้วยแล้วกัน

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์แนวหน้า

Shares:
QR Code :
QR Code