มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ผู้ป่วยเสี่ยงกลับมาเป็นซ้ำ
ที่มา : เว็บไซต์ข่าวสดออนไลน์ (https://bit.ly/2lltX1Q)
แฟ้มภาพ
มะเร็งต่อมน้ำเหลือง โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองปัจจุบันถือว่าเป็นโรคมะเร็งที่สามารถพบได้ทุกเพศทุกวัยทำให้ทั่วโลกให้ความสำคัญ และตื่นตัวกับโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นโรคมะเร็งทางโลหิตวิทยาที่พบได้บ่อยในประเทศไทย และทั่วโลก จึงยกให้วันที่ 15 กันยายนของทุกปี ตรงกับ วันมะเร็งต่อมน้ำเหลืองโลก
ศ.นพ.ธานินทร์ อินทรกำธรชัย ประธานชมรมโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองแห่งประเทศไทย กล่าวว่า โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเป็นโรคมะเร็งทางโลหิตวิทยาที่พบได้บ่อยติดอันดับ 1 ใน 6 ของโรคมะเร็งที่พบบ่อยในคนไทย โดยสถานการณ์ของโรคในปัจจุบัน พบว่ามีผู้ป่วยใหม่ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองปีละกว่า 3,000 ราย หรือเทียบเท่า 8 รายต่อวัน โดยสูงสุดอยู่ที่ช่วงอายุ 60-70 ปี
ทั้งนี้ อุบัติการณ์ของโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ชนิด นอนฮอดจ์กิน (Non-Hodgkin lymphoma) หรือNHL จะสูงขึ้นตามอายุ และปัจจุบันสามารถพบได้ในเด็ก หรือกลุ่มคนอายุน้อยได้มากขึ้นอีกด้วย โดยเพศชายพบบ่อยมากกว่าเพศหญิง สำหรับโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ชนิดฮอดจ์กิน (Hodgkin lymphoma) หรือ HD จะพบบ่อยในช่วงอายุ 20-30 ปี
โดยในปัจจุบันยังไม่สามารถบอกสาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองทุกรายได้อย่างชัดเจนแต่พบมีความสัมพันธ์กับหลายภาวะ ได้แก่ การติดเชื้อ : พบความสัมพันธ์ระหว่างโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง บางชนิดกับการติดเชื้อเช่น การติดเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะอาหาร การติดเชื้อไวรัส EBV (Epstein-Barr Virus) ภาวะพร่องภูมิคุ้มกันของร่างกาย : ผู้ป่วยติดเชื้อ เอชไอวี พบอุบัติการณ์ของโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเพิ่มขึ้น โรคภูมิแพ้ตนเอง ผู้ป่วยโรคเอสแอลอี พบอุบัติการณ์ของโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเพิ่มขึ้นการสัมผัสสารเคมี เช่น ยาฆ่าแมลงจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง แต่ปัญหาของผู้ป่วยในระยะแรกจะไม่ทราบว่าตนเองเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เนื่องจากอาการของโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองจะเหมือนอาการอื่นๆ ที่พบได้ในภาวะต่างๆ เช่น การติดเชื้อ ภูมิแพ้ เหงื่อออกตอน กลางคืน เป็นไข้ และน้ำหนักลดผิดปกติ
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองจะพบมาก แต่ก็เป็นโรคมะเร็งเพียงไม่กี่ชนิดที่มีโอกาสรักษาให้หายขาดได้ โดยยาเคมีบำบัดร่วมกับยาโมโนโคลนอลแอนติบอดี การฉายแสง และการปลูกถ่ายไขกระดูก หรือสเต็มเซลล์ โดยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง แบ่งเป็น 4 ระยะ หากผู้ป่วยได้รับการรักษาตั้งแต่ระยะที่ 1 มีโอกาสหายขาดถึงร้อยละ 70-90%
ส่วนผู้ป่วยที่รับการรักษาในระยะที่ 2-4 มีโอกาสหายขาด ร้อยละ 60 โดย 60% ตอบสนองกับการรักษามาตรฐาน อีกกว่า 40% ไม่ตอบสนองกับการรักษา ซึ่งแบ่งเป็น 15% ที่ดื้อต่อการรักษา และ 25% ที่กลับมาเป็นซ้ำภายในระยะเวลา 2-3 ปี และจะมีอาการของโรคมากขึ้น เกิดภาวะดื้อยาไม่ตอบสนองกับการรักษา
ปัจจุบันในคนไข้กลุ่มที่ไม่ตอบสนองกับการรักษา ได้มีวิธีการรักษารวมไปถึงยาที่ได้รับการพัฒนา เข้ามาเป็นทางเลือกให้คนไข้กลุ่มนี้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งผลการรักษาได้ผลดีในระดับที่น่าพอใจและหลังจบการรักษาผู้ป่วยควรดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอและพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโลหิตวิทยามีจำนวนมากขึ้น ประจำอยู่ในเกือบทุกโรงพยาบาลทั่วประเทศ รวมไปถึงวิวัฒนาการการรักษาที่ช่วยให้คนไข้มีชีวิตที่ยืนยาวมากยิ่งขึ้น