“มองหาตัวจี๊ด” พาสังคมไทยฝ่าวิกฤต

ผู้นำที่มีความคิดไม่เหมือนใคร 

“มองหาตัวจี๊ด” พาสังคมไทยฝ่าวิกฤต            เมื่อลองเปิดรับข้อมูลข่าวสารที่เฉพาะเจาะจงว่า  เราจะนำพาประเทศไทย….ที่กำลังเปราะบาง แปลกแยก แบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย  เสี่ยงกับการแตกแยกจนยากจะเยียวยา…. เดินไปในทางไหน  ท่ามกลางการทะเลาะเบาะแว้งยังหาข้อยุติไม่ได้ของฝ่ายบริหารบ้านเมือง  ซึ่งยังคงสาละวนอยู่กับ แก้กับ ไม่แก้รัฐธรรมนูญ โดยไม่ใส่ใจที่จะทบทวน สำรวจตัวเองเลยว่า การแก้รัฐธรรมนูญเป็นทางออกของประเทศไทย หรือเป็นทางออกส่วนตนของนักการเมืองกันแน่นั้น

 

นับว่ายังพอจะรู้สึกชื่นใจ  สามารถใจชื้นขึ้นนิดว่า  ผมไม่ได้บ้าอยู่คนเดียวที่ใฝ่ฝันอยากเห็นการปฏิรูปประเทศไทยเกิดขึ้น เพราะมองไปทางไหนก็เห็นแต่ความขัดแย้ง  ขัดสน  ขัดใจ  อย่างไม่ควรจะเป็น   แต่ปรากฏว่ามีหลายหน่วยงานมากมายที่มีความฝันอันยิ่งใหญ่ อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงประเทศตามที่ได้มีผู้รู้  มีการศึกษา  มีความปรารถนาดี ได้เคยขีดเขียนหรือวาดภาพไว้   ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ  เอกชน หรือองค์กรเพื่อสังคมในด้านต่างๆ

 

            ทว่า..เพราะคำว่า ปฎิรูปหมายถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างมีระบบ ที่สำคัญค่อยเป็นค่อยไป จึงไม่ใช่เรื่องที่จะเห็นผลสัมฤทธิ์ทันอกทันใจ สามารถนำไปสร้างภาพอวดอ้างโฆษณาประชาสัมพันธ์รายวันได้เหมือนขายสินค้าอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือใช้วาทะขายไอเดีย พูดเสร็จแล้วเสร็จเลยไม่ต้องสนใจรับผิดชอบขับเคลื่อนให้เป็นจริงเหมือนนักหาเสียงส่วนใหญ่

 

            จึงไม่แปลกใจเลยว่า  ขณะที่นักคิด   นักวิชาการ  นักบริหารที่มีหัวสมองระดับกะทิของประเทศ   มีตำแหน่งแห่งที่เป็นถึงระดับดอกเตอร์  ศาตราจารย์  รองศาสตราจารย์  อธิการบดี คณบดี  และผู้นำชุมชนต่างๆ  กำลังคร่ำเคร่งช่วยกันคิดช่วยกันหาสูตร  ค้นแนวทาง   กำหนดวิธีการ  เพื่อทำให้ประเทศไทยอยู่ดีมีสุข  สามรารถรับมือ หรือต่อสู้กับวิกฤตสังคม เศรษฐกิจ การเมืองได้ทุกรูปแบบไม่ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรนั้น  คนไทย ในส่วนต่างๆของประเทศน้อยนักที่จะรับรู้

 

แต่ผมจะบอกให้รู้เสียตรงนี้เลยว่า คนเหล่านี้ ซึ่งมีความฝันอันยิ่งใหญ่ร่วมกันอยากเห็นประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุดในโลก  เขาทำงานกันหนักมาก ระดมสมองกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ด้วยจินตนาการร่วมที่มาจากพื้นฐานเดียวกันว่า ประเทศไทยมีทรัพยากรมากมาย ทั้งทรัพยากรธรรมชาติ  สังคม วัฒนธรรม ศาสนธรรมและองค์กรต่างๆและมีเครื่องมือมากมาย  แต่ขาดการออกแบบและเชื่อมโยง จึงทำให้เกิดปัญหาสะสม แก้ยากและแก้ไม่ตกเฉกเช่นทุกวันนี้ 

 

            ดังนั้น หากมีการจัดระบบ ร่วมกันค้นหาปัญหา  ร่วมกันกำหนดยุทธศาสตร์แก้ปัญหาและพัฒนา โดยแบ่งภารกิจตามความถนัดและภาระหน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละองค์กร และนำมาเชื่อมต่อกัน  ทางออกที่สดใสย่อมมี   และดีกว่านั่งแหงนคอร้องเพลงรอฝ่ายรัฐลงมือเป็นเจ้าภาพแต่ฝ่ายเดียวแน่นอน

 

            ความฝันอันยิ่งใหญ่อย่างทีมงานของ  คุณหมอประเวศ  วะสี   ในการทำประเทศไทยให้น่าอยู่  ซึ่งได้ยินว่าประชุมกันทุกเดือนๆละ 2 ครั้ง ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิมากมาย  โดยมีสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เป็นสปอนเซอร์หรือแกนกลางในการดำเนินการขับเคลื่อนฝันให้เป็นจริงภายใต้โครงการที่เรียกว่า ปฏิรูปประเทศไทยเพื่อสุขภาวะคนไทย  นั้น  แม้จะวาดฝันไว้ว่าเมื่อร่วมกันสร้างประเทศไทยคนละไม้คนละมือ  ทศวรรษข้างหน้าประเทศไทยอย่างน้อยจะมีคุณลักษณะพึงปรารถนา 5 ประการอาทิ เป็นประเทศแห่งความพอเพียง มีสัมมาชีพเต็มพื้นที่   เป็นประเทศแห่งความดีมีความปลอดภัย มีความยุติธรรม มีสันติภาพ มีธรรมาภิบาล  เป็นประเทศแห่งความงาม ศิลปะ วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม เป็นประเทศแห่งปัญญา มีสังคมแห่งการเรียนรู้ห่างไกลจากสังคมแห่งอำนาจนิยม หรือรู้เท่าทันอำนาจนิยม  เป็นประเทศแห่งสุขภาวะ  ทั้งกาย จิตและปัญญา… แต่ก็ยังต้องทำกันอย่างละเอียดรอบคอบ  พยายามมองหาจุดลงตัว และสูตรการปฏิบัติที่เป็นที่ยอมรับกันโดยรวม  มิเช่นนั้น ก็ยากจะประสบความสำเร็จ 

 

            สรุปคือ นอกจากต้องระดมสมองกันอย่างหนักหนาสาหัส  ยังต้องใช้เวลากว่าฝันจะเป็นจริง !

 

เพราะยุทธศาสตร์เขียนให้งดงาม  แผนปฏิบัติการเขียนให้สวยหรู  แต่สุดท้าย คนมองไม่เห็นความสำคัญ หรือขาดสำนึกแห่งความร่วมมือ   การปฏิรูปย่อมเป็นไปได้ยาก หรือกระท่อนกระแท่น ขาดความต่อเนื่อง ซึ่งเป็น จุดตายของทุกโครงการ

 

            ครั้งหลังสุดที่มีโอกาสไปรับรู้การระดมสมองมองหาหนทางทำให้ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปในด้านบวกเพื่อสุขภาวะที่ยั่งยืนของคนไทยทุกคนไม่ว่าใส่เสื้อสีอะไรนั้น  ดร.สมเกียรติ  ตั้งกิจวานิชย์  จากทีดีอาร์ไอ หรือสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ได้นำเสนอสูตรหรือยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้น่าอยู่  ภายใต้ชื่อ  จุดคานงัด: ประเทศไทยเพื่อฝ่าวิกฤตการณ์สังคม เศรษฐกิจ การเมืองที่ซับซ้อน

 

สูตรของ ดร.สมเกียรติ เป็นการตีโจทย์เพื่อให้กรอบยุทธศาสตร์   10 ประเด็น ได้แก่   สร้างจิตสำนึกใหม่สร้างสัมมาชีพเต็มพื้นที่  สร้างความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่นทุกด้านทั้งเศรษฐกิจ จิตใจ  สังคม การเมือง และประชาธิปไตย สร้างระบบการศึกษาที่พาชาติออกจากวิกฤติ  สร้างธรรมาภิบาล การเมือง การปกครอง และระบบความยุติธรรม  สร้างระบบสวัสดิการสังคมเป็นระบบ สร้างความสมดุลของสิ่งแวดล้อมและพลังงาน สร้างระบบสุขภาพเพื่อสุขภาวะของคนทั้งมวล  สร้างสมรรถนะในการวิจัยและสามารถทำเรื่องยุทธศาสตร์ชาติ และ  สร้างระบบการสื่อสารที่ผสมผสานการสร้างสรรค์ทั้งหมดนั้น  สามารถดำเนินการให้ได้เป็นจริง และหลุดออกมาจากพิมพ์เขียวที่เป็นแผ่นกระดาษ หรือกองอยู่ในความคิดจินตนาการ

 

            ประเด็นที่น่าสนใจคือ จุดคานงัดที่ว่า หมายถึง ห้วงเวลาที่เหมาะสมที่คนไทยจะร่วมกันงัดปัญหาต่างๆให้ออกไป  แล้วเริ่มต้นสิ่งที่ดีใหม่   แต่ระยะเวลาไม่สำคัญเท่ากับจะหา คนที่จะรู้ว่าจุดคานงัดอยู่ตรงไหนและเวลาใดที่เหมาะสมจะลุกขึ้นงัดเพื่อให้สัมฤทธิ์ผลตามที่ต้องการ เพราะถ้าขาดคนที่มีองค์ความรู้อย่างถ่องแท้ มาถือคานงัด ผลที่ได้อาจจะตรงกันข้าม เหมือนกับข้อเปรียบเทียบที่ว่า การก่อกองทรายหากใส่ทรายลงไปในจุดที่ไม่เหมาะสม ปราสาททรายก็ จะพังทลายลงทันควัน 

 

มีการหยิบยกสูตร  ตัวจี๊ดที่จะมาเป็นคนถือคานงัดในจุดที่เหมาะสม และลงตัว สนองตอบต่อความต้องการและยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ซึ่งฟังแล้วน่าสนใจทีเดียว เพราะสังคมต่างๆจะเปลี่ยนแปลงย่อมต้องมี ผู้นำและผู้นำคนที่ว่าก็มักจะคิดไม่เหมือนใคร เมื่อคิดแตกต่างจากสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ คนที่เห็นต่างก็ต้องไม่พอใจ คนที่เห็นด้วยก็จะแอบส่งเสริมในใจ รอจังหวะเหมาะก็จะโดดลงไปร่วมมือ

 

            ตัวจี๊ดหรือ ผู้นำที่คิดไม่เหมือนใครนี้เอง จะเป็นคนถือคานงัดในแต่ละสังคมหรือชุมชน หรือองคพายพแต่ละส่วน แล้วก็มีการยกตัวอย่างตัวจี๊ดตัวพ่ออย่าง นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ซึ่งสร้างความสั่นสะเทือนให้กับวงการธุรกิจยาสูบ จนประเทศไทยกลายเป็นประเทศผู้นำด้านการต่อต้านบุหรี่ ภัยเงียบสร้างปัญหาให้กับสุขภาพ

 

สังคมไทยจะมองหา ตัวจี๊ดในแบบเดียวกับหมอประกิต แต่ในแวดวงอื่นๆได้อย่างไร เป็นเรื่องน่าคิด เพราะตัวจี๊ดแบบหมอประกิตไม่ใช่ ประเภทสร้างความปั่นป่วนให้สังคมไทยหันมามอง หรือเป็นข่าวดังแล้วก็เลยตามเลย แต่ตัวจี๊ดคนนี้ต้องมีองค์ความรู้   ความสามารถ รู้ลึกรู้จริงในสิ่งที่ต้องการทำหรือต้องการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่กระทำแบบฉาบฉวย เหมือนที่สังคมไทยบางส่วนถนัดกระพือข่าว เพื่อผลประโยชน์ส่วนตน

 

คุณสมบัติของตัวจี๊ด  เพื่อการถือคาดงัดนำสังคมไทยฝ่าวิกฤต ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ยาก  หากทุกคนเริ่มมองหากันตั้งแต่วันนี้  แล้วส่งเสริมสนับสนุน  อย่าไปมองเขาว่าเป็น คนบ้าหรือ ตัวป่วนอย่างที่เคยใช้มุมมองในทางแคบ   เชื่อว่าสังคมไทยไม่สิ้นคนดีแน่

 

อย่างไรก็ตาม คนดีหรือ ตัวจี๊ดที่พึงปรารถนา สุดท้ายก็ไม่พ้นประเด็นดั้งเดิมที่กล่าวแล้วกล่าวอีก และต้องมีการพูดถึงทุกเวที นั่นคือ คุณภาพของคนเป็นกุญแจสำคัญ ซึ่งจุดเริ่มต้นของการสร้างคนคุณภาพก็ต้องวนกลับไปที่ระบบการศึกษา เพราะวันนี้เราอาจจะมีตัวจี๊ดตัวพ่อช่วยขับเคลื่อนความฝันเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นจริงได้ แต่ถ้าเราขาดซึ่งทายาทหรือองค์ประกอบที่จะสืบต่อสร้างตัวจี๊ดตัวลูก ความต่อเนื่องของการดำเนินการไม่เกิด ทุกอย่างก็ต้องหยุดชะงัก ฝันก็ต้องสลายลงกลางคันในที่สุด

 

            การปฏิรูปการศึกษาไทย จึงเป็นโจทย์แรกที่ต้องขับเคลื่อนให้เป็นจริง  หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องช่วยกันหาตัวจี๊ดผู้จะถือคานงัด เพื่อขับเคลื่อนการศึกษาไทยไปในทิศทางที่ถูกต้อง หลุดออกจากวงจรอุบาทว์ในปัจจุบันให้ได้   

 

 

 

 

 

 

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

 

 

Update 02-11-52

อัพเดทเนื้อหาโดย : อารยา สิงห์สวัสดิ์

Shares:
QR Code :
QR Code