มฤตยู “อีโคไล” โรคอุบัติใหม่ที่ต้องระวัง
ยิ่งมนุษย์มีการพัฒนาทั้งวิทยาการและเทคโนโลยีไปมากเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนว่า “เชื้อโรค” ก็จะยิ่งวิวัฒนาการตัวเองให้ก้าวทันหรือก้าวล้ำวิวัฒนาการทางการแพทย์ไปยิ่งขึ้นเท่านั้น มนุษยชาติจึงต้องเผชิญหน้ากับ “โรคอุบัติใหม่” ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น แพร่ระบาดได้ง่ายขึ้น และอีกหลายๆ โรคยังหาตัวยาสำหรับการรักษาไม่ได้มากยิ่งขึ้น
“อีโคไล” เป็นหนึ่งในโรคอุบัติใหม่ที่ปรากฏชื่อให้เห็นผ่านสื่อมวลชนแขนงต่างๆ ในช่วงนี้อย่างถี่ยิบ เนื่องจากพบว่ามีผู้ติดเชื้อดังกล่าว และมีความรุนแรงถึงขั้นทำให้มีผู้เสียชีวิต 20 กว่าราย โดยมีผู้ติดเชื้อดังกล่าวอีกนับพันราย ในประเทศเยอรมนี
สำหรับโรคระบาดดังกล่าว นพ.พรชนก รัตนดิลก ณ ภูเก็ต สำนักโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค ได้เรียบเรียงองค์ความรู้ไว้ว่า โรคจากเชื้อแบคทีเรีย อีโคไลชนิดรุนแรง (Enterohaemorrhagic E.coli O104) เป็นเชื้อแบคทีเรียที่พบได้ในลำไส้ของมนุษย์และสัตว์เลือดอุ่น ส่วนใหญ่ของเชื้อ E.coli จะไม่ก่อให้เกิดอันตราย มีบางสายพันธุ์ของเชื้อ E.coli เช่น enterohaemorrhagic E.coli (EHEC) สามารถก่อให้เกิดอาการที่รุนแรงได้ โดยเชื้อ enterohaemorrhagic E.coli (EHEC) ทำให้เกิดโรคโดยการสร้างและปล่อยสารพิษชื่อ Shiga toxin ซึ่งสามารถทำลายเม็ดเลือดแดงและไตได้ ตัวอย่างที่สำคัญของเชื้อสายพันธุ์ enterohaemorrhagic E.coli (EHEC) เช่น สายพันธุ์ E.coli O157:H7 และ E.coli serogroup O104 ที่สงสัยว่าจะเป็นสาเหตุการระบาดที่เยอรมันอยู่ในตอนนี้
ผู้ที่ได้รับเชื้อ E.coliจะมีอาการของระบบทางเดินอาหารที่รุนแรง ถ่ายอุจจาระเหลวมักมีเลือดปน หรือมีมูกเลือด มีไข้ต่ำๆ หรือไม่มีไข้ ร่วมกับอาการปวดท้อง อาเจียน และอาจเป็นอันตรายแก่ชีวิต จากไตวาย ซึ่งมักพบกับเด็กเล็ก โดยพบได้ร้อยละ 3-7 ของผู้ที่ติดเชื้อดังกล่าว ทั้งนี้ ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีการหายภายใน 10 วัน อัตราการป่วย-ตาย ประมาณร้อยละ 3-5
ส่วนการติดต่อของอีโคไลนั้น นพ.พรชนก ระบุไว้ว่า เชื้อนี้จะเข้าสู่ร่างกายโดยการบริโภคอาหารที่มีการปนเปื้อน เช่น เนื้อสัตว์ดิบหรือปรุงไม่สุก นมที่ไม่ได้ผ่านขบวนการทำลายเชื้อ นอกจากนี้การปนเปื้อนของเชื้อโรคจากอุจจาระ สู่อาหารและน้ำ อาจเกิดขึ้นได้ระหว่างการเตรียมและการปรุงอาหาร เช่น ผิวของห้องครัวหรืออุปกรณ์ปรุงอาหารที่มีการปนเปื้อน โดยเชื้อดังกล่าวจะมีระยะฟักตัว – ระหว่าง 3-8 วัน เฉลี่ย 3-4 วัน
เชื้อ E.coli จะเจริญเติบโตได้ดีในอุณหภูมิระหว่าง 7-50 องศาเซลเซียส และจะถูกทำลายได้โดยความร้อนที่ 70 องศาเซลเซียสขึ้นไป นอกจากนี้ยังเคยมีรายงานว่าเชื้อ EHEC สามารถเพาะเชื้อขึ้นจากบ่อน้ำ โดยเชื้อสามารถมีชีวิตอยู่ได้เป็นเดือนในแหล่งน้ำ
ส่วนใหญ่จะก่อโรคในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ โดยมักจะเป็นการระบาดชนิดประปราย น้อยครั้งที่จะมีการระบาดใหญ่เหมือนกรณีที่เยอรมันในขณะนี้ ซึ่งพบว่าผู้ป่วย 86% เกิดกับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป
สุดท้าย นพ.พรชนก มีคำแนะนำสำหรับประชาชนทั่วไป โดยปฏิบัติตนเหมือนกับการป้องกันโรคติดต่อทางอาหารและน้ำอื่นๆ คือ สุก ร้อน สะอาด “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ”ปรุงอาหารให้สุกอย่างทั่วถึง ห้ามรับประทานอาหารดิบ หรือ ดิบๆ สุกๆ เนื่องจากเชื้อจะถูกทำลายได้โดยความร้อนที่ 70 องศาเซลเซียสขึ้นไป โดยเฉพาะอาหารประเภทเนื้อสัตว์ และควรรับประทานอาหารที่ปรุงสุกทันที หรือสุกใหม่ๆ เก็บอาหารที่ปรุงสุกแล้วอย่างระมัดระวัง เช่น ข้าวกล่อง อาหารถุง กรณีจะนำมารับประทาน ต้องนำมาอุ่นให้ร้อนอย่างทั่วถึงก่อนรับประทานอีก สำหรับอาหารทารก ต้องนำมารับประทานทันทีหลังปรุงสุก และไม่ควรเก็บไว้ค้างมื้อ ทั้งนี้ให้เลือกอาหารที่มีขบวนการผลิตที่ปลอดภัย ล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง ก่อนและหลังรับประทานอาหาร และภายหลังการเข้าส้วม อย่าใช้มือสัมผัสอาหารที่ปรุงสุกแล้วโดยตรง ควรใช้ช้อนกลาง รักษาสิ่งแวดล้อมในครัวให้สะอาด โดยเฉพาะโต๊ะที่ใช้ปรุงอาหาร น้ำดื่ม และน้ำใช้ต้องสะอาด หลีกเลี่ยงการปนเปื้อนระหว่างอาหารด้วยกัน เพื่อไม่ให้อาหารที่ปรุงสุกแล้วปนเปื้อนกับอาหารดิบ เช่น การใช้มีด เขียง ต้องแยกระหว่างอาหารดิบ และอาหารสุก เป็นต้น
นอกจากนี้ควรเลือกซื้อผัก ผลไม้ที่สะอาด ปลอดสารเคมี และยาฆ่าแมลง ล้างผัก และผลไม้ให้สะอาด ก่อนนำมารับประทาน โดยการเด็ดใบ คลี่ใบล้างผ่านน้ำให้สะอาดหลายๆ ครั้ง
บางทีอาจจะถึงเวลาที่มนุษยชาติจะต้องทบทวนกับพฤติกรรมการใช้ชิวิตอยู่ในปัจจุบัน ว่าไปเบียดเบียนหรือรบกวนธรรมชาติ กระทั่งพลอยทำให้สิ่งต่างๆ ผิดเพี้ยนไปจากที่เคยมีหรือไม่ ไม่เว้นกระทั่ง “เชื้อโรค”สายพันธุ์ใหม่ๆ ที่พัฒนา กลายพันธุ์ และอาจจะกำลังทวงคืนเอากับมนุษยชาติอยู่ก็เป็นได้
เรื่องโดย: คีตฌาณ์ ลอยเลิศ Team content www.thaihealth.or.th