มณฑา เก่งการพานิช คนสู้บุหรี่ รุกชุมชนปลอดควัน
ที่มา : จดหมายข่าวชุมชนคนรักสุขภาพ ฉบับสร้างสุข ประจำเดือนพฤษภาคม 2564
การสูบบุหรี่ ไม่ได้เป็นเพียงเพราะเสพติด ยังเป็นเรื่องของพฤติกรรมความเคยชิน ที่หากใครอยากเลิกสูบบุหรี่ต้องผ่านด่านนี้ไปให้ได้
งานรณรงค์เพื่อให้ประชาชนเลิกสูบบุหรี่ เป็นสิ่งที่ประเทศไทยทำมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน แต่ช่วงต้นพบว่า งานควบคุมยาสูบเน้นไปที่งานรณรงค์และอยู่ในส่วนกลางเป็นส่วนมาก ขณะที่สถานการณ์อัตราการสูบบุหรี่กลับพบว่าไม่ลดลง โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท “อาจารย์หมู” รศ.ดร.มณฑา เก่งการพานิช คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จึงนำเสนอต่อ สสส. ว่า ควรจะต้องลงไปทำงานในชุมชนให้มากขึ้นตามแนวทางของกฎบัตรออตตาวา ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของ “การสาธารณสุขแนวใหม่ (new public health)” ที่ให้ความสำคัญเรื่องการสร้างเสริมสุขภาพ ซึ่งไม่ได้เน้นการปรับพฤติกรรมส่วนบุคคลเท่านั้น แต่ทำเรื่องของโครงสร้างพื้นฐาน โครงสร้างองค์กร หรือระบบ เช่น ชุมชนต้องมีความเข้มแข็ง ต้องสร้างการมีส่วนร่วม จัดสิ่งแวดล้อม มีนโยบายชุมชน และปรับระบบบริการด้วย
“ช่วงแรกยอมรับว่าเป็นเรื่องยาก เพราะคนยังไม่เข้าใจ และหาคนมาทำงานเชิงชุมชนไม่ได้ สสส. จึงให้โอกาสทดลองทำงานใน 40 ชุมชน ที่มีโครงการตำบลสุขภาวะ ที่ สสส. ดำเนินการอยู่แล้ว จนมีการทำงานเชิงระบบผ่านโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) และผ่านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพื่อให้เข้าใจและผลักดันการทำงานเลิกบุหรี่ในชุมชน ก็พบว่า ได้ผลลัพธ์ค่อนข้างดี ช่วงแรกๆ ชุมชนที่ทำได้ดีสามารถช่วยลด ละ เลิกบุหรี่ได้ถึง 40% ในระยะเวลา 3 เดือน และ 6 เดือน”
ความยากของการทำงานในชุมชนคือ สร้างความตระหนักให้ประชาชนรู้ว่า “บุหรี่” สร้างผลกระทบร้ายแรงเพียงใด เนื่องจากผลกระทบจากบุหรี่ เป็นผลกระทบระยะยาว คนจึงมองภาพได้ไม่ชัดนัก การต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนก็เป็นเรื่องยาก ต้องหาเทคนิคในการเข้าถึงประชาชน ทำให้เกิดความเข้าใจ จากนั้นการเปลี่ยนแปลงจึงจะตามมา ทำตามศาสตร์ของพระราชา “เข้าถึง เข้าใจ พัฒนา”
การทำงานในชุมชน ต้องอาศัยความเข้าใจพฤติกรรมของคน เช่น การใช้นวัตกรรมเครื่องเป่าวัดคาร์บอนมอนอกไซด์ เข้ามาช่วยทำงานเชิงรุกในชุมชนเพื่อตรวจสุขภาพปอด เพราะบางคนก็ไม่ชอบหากใครมาบอกให้เลิกบุหรี่ ดังนั้น จึงต้องมีเทคนิคการทำงานในการคัดกรองการเลิกบุหรี่ การตรวจสุขภาพคนในชุมชน ทำให้เห็นถึงปัญหาสุขภาพและเห็นความสำคัญของการเลิกบุหรี่ การหาวิธีการชนะใจคือ “ยาใจ” ต้องช่วยกันค้นหา ซึ่งไม่มีเทคนิคเบ็ดเสร็จใน 1 ชุมชน ต้องใช้เทคนิคหลากหลาย บางคนอาจต้องการยา บางคนต้องการใจ บางคนจะเลิกเอง บางคนต้องการตัวช่วยเลิก คนทำงานในท้องถิ่นต้องปรับตัวตลอดเวลากับความหลากหลาย รวมถึงต้องมีการติดตาม เพราะส่วนใหญ่ทำงานแล้วจะไม่ติดตามทำให้วัดผลความสำเร็จไม่ได้ ต้องพยายามให้คนทำงานมีการติดตามด้วย
เบื้องต้นจากการทำงานกับ รพ.สต. กว่า 700 แห่ง พบว่า ให้ผลลัพธ์ในการช่วยเลิกบุหรี่และเหล้าได้ดี แต่งานก็มีความยากมากขึ้นอีก เนื่องจากคนที่ตั้งใจเลิกบุหรี่หรือเลิกง่าย ถูกช่วยให้เขาเลิกได้ไปแล้ว จะเหลือแต่เคสเลิกยาก ฮาร์ดคอร์ ที่ต้องหาวิธีและเครื่องมือเพื่อให้เขาเข้าถึงและตั้งใจที่จะเลิกบุหรี่ให้ได้อย่างต่อเนื่อง จึงนำมาสู่การพัฒนานวัตกรรมตัวช่วยเลิกบุหรี่ โดยพบว่า ยังมีนวัตกรรมอื่น ๆ ที่โดดเด่น คือ รองเท้านวดเลิกบุหรี่ และยาสมุนไพรช่วยเลิกบุหรี่
“การทำงานเลิกบุหรี่ในชุมชน เป็นการทำงานหนึ่งที่เรามีความสุขอย่างมาก มิเช่นนั้นคงไม่สามารถทำมาได้นานถึง 10 ปี เรียกว่าทำงานด้านนี้แล้วก็อิน ได้เห็นเจ้าหน้าที่ที่เรียนรู้งานไปช่วยชาวบ้านเลิกบุหรี่ได้ก็รู้สึกดี ได้เห็นชาวบ้านที่เลิกบุหรี่ได้ก็รู้สึกดี ได้เห็นเรื่องราวดี ๆ ที่เกิดขึ้นในชุมชน ก็ถือเป็นความภูมิใจเป็นการเอาความรู้ในตำรามาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ดีกว่าสอนหนังสือไปแล้ว ความรู้พวกนี้ก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร” รศ.ดร.มณฑา บอกความประทับใจ
การได้รู้จักผู้คนได้เห็นสัมผัสความจริง มันเป็นความสุขที่ทำให้เราอยากทำต่อ ซึ่งจะเห็นว่าเวลาทำงานจะต้องคิดและพัฒนาต่อยอดไปเรื่อย ๆ มีเรื่องมาให้คิดให้ทำพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รศ.ดร.มณฑา สรุปเรื่องราวที่ได้ทำงานร่วมงานกับ สสส. ทำให้มีโอกาสได้ทำกิจกรรมดี ๆ ในการช่วยสร้างเสริมสุขภาวะทำให้ตัวเราเองมีความสุขกับการทำงาน ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ โดยมีเป้าหมายเดียวกันคือ ต้องการให้ประชาชนสุขภาพดีให้ได้