ภาวะเบาหวานขึ้นตา ป้องกันได้
ที่มา : เว็บไซต์แนวหน้า
แฟ้มภาพ
ผู้ป่วยโรคเบาหวานส่วนใหญ่มักจะละเลยการตรวจสายตาอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่นำไปสู่ภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตาได้
รศ.พญ.โสมศิริ สุขะวัชรินทร์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจอประสาทตาและม่านตาอักเสบ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า ภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตา หรือที่มักเรียกกันว่า “โรคเบาหวานขึ้นตา” คือ ภาวะแทรกซ้อนทางตาที่เกิดจากโรคเบาหวาน ทำให้เกิดอาการตามัว และสามารถส่งผลร้ายแรงถึงขั้นสูญเสียการมองเห็นได้ เป็นผลจากการที่ผู้ป่วยมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ โดยเกิดจากตับอ่อนสร้างอินซูลินได้ไม่เพียงพอ ซึ่งอินซูลินมีหน้าที่นำน้ำตาลกลูโคสจากกระแสเลือดเข้าสู่เซลล์ร่างกายเพื่อใช้เป็นพลังงาน เมื่อมีภาวะขาดอินซูลิน ทำให้ร่างกายมีระดับน้ำตาลค้างอยู่ในกระแสเลือดเป็นจำนวนมาก
ทำให้หลอดเลือดเกิดความผิดปกติส่งผลต่ออวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย รวมถึงดวงตาโดยเฉพาะที่จอตา มีการรั่วซึมของเลือดและน้ำเหลืองออกจากหลอดเลือดกระจายทั่วในจอตา มีการอักเสบเกิดขึ้นตามมา จนมีภาวะอุดตันของหลอดเลือด ส่งผลให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนได้ตามปกติ ทำให้เกิดภาวะจอตาขาดเลือด มีการตายของเซลล์จอตา
จากสถิติผู้ป่วยโรคเบาหวานในประเทศไทย พบว่า ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานตั้งแต่อายุน้อยช่วงอายุ 10-15 ปีหรือเบาหวานประเภทที่ 1 มีโอกาสมีภาวะเบาหวานขึ้นตาได้มากถึงร้อยละ 98 และผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป หรือเบาหวานประเภทที่ 2 มีโอกาสมีภาวะเบาหวานขึ้นตาได้มากถึงร้อยละ 60 โดยสามารถพบได้ทั้งเพศหญิงและเพศชายในอัตราเท่าๆ กัน อาการของโรคเบาหวานขึ้นตาโดยทั่วไปในระยะแรกผู้ป่วยมักจะไม่แสดงอาการ หรืออาจเกิดความผิดปกติในการมองเห็นเพียงเล็กน้อย
จึงทำให้ผู้ป่วยละเลยในการควบคุมระดับน้ำตาล ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่มีอาการและมาตรวจมักจะพบว่า มีภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตาเข้าสู่ระยะที่เริ่มมีผลกระทบต่อการมองเห็นแล้ว อันเป็นผลมาจากภาวะจอประสาทตาเสื่อม ซึ่งอาการผิดปกติดังกล่าว ได้แก่ มองเห็นจุดหรือเส้นสีดำคล้ายหยากไย่ลอยไป-มา มองเห็นภาพบิดเบี้ยว ตามัว การมองเห็นแย่ลง สายตาไม่คงที่แยกแยะสีได้ยากขึ้น ภาพที่มองเห็นมืดเป็นแถบๆ และหากผู้ป่วยได้รับการรักษาช้า จะยิ่งส่งผลร้ายแรงถึงขั้นสูญเสียการมองเห็นได้
สำหรับการรักษาภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตา แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยควบคุมอาหาร และรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ หากเริ่มมีอาการทางจอประสาทตาจนถึงระยะที่สอง แพทย์จะรักษาด้วยการยิงเลเซอร์ เพื่อกำจัดจอประสาทตาที่ตายแล้วและหลอดเลือดเกิดใหม่ เพื่อป้องกันไม่ให้อาการลุกลามมากขึ้น ส่วนกรณีที่มีอาการเลือดออกในน้ำวุ้นลูกตาหรือจอประสาทตาหลุดลอก อาจจะต้องรักษาด้วยวิธีผ่าตัดซึ่งผลของการรักษานั้นไม่แน่นอน โดยหากผู้ป่วยที่ปล่อยให้มีอาการรุนแรงถึงขั้นนี้แล้ว มักจะพบว่าสายตาได้รับความเสียหายไปมากแล้ว
อย่างไรก็ตาม โรคเบาหวานขึ้นจอประสาทตา นับว่าเป็นภัยเงียบที่มากับโรคเบาหวานโดยแท้จริง ซึ่งในระยะเริ่มแรกอาจไม่แสดงอาการใดๆ เลย แต่ไม่ควรเพิกเฉยว่าไม่มีอะไรผิดปกติ แม้แต่กรณีที่ผู้ป่วยพึ่งตรวจพบว่าตนเองเป็นโรคเบาหวาน ก็ไม่ได้แสดงว่าพึ่งป่วยในระยะเริ่มต้นเพราะอาจป่วยด้วยโรคเบาหวานและ/หรือมีภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตาร่วมด้วยมาระยะหนึ่งแล้วเพียงแค่ไม่แสดงอาการก็เป็นได้
นั่นหมายความว่าเบาหวานอาจเข้าสู่จอประสาทตาของผู้ป่วยไปเรียบร้อยแล้ว ในฐานะผู้เชี่ยวชาญที่ดูแลผู้ป่วยด้านนี้จึงแนะนำให้ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน ควรหมั่นตรวจคัดกรองหาภาวะเบาหวานขึ้นตาเป็นประจำทุกปี อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง เพื่อให้สามารถรับการวินิจฉัยโรคเบาหวานขึ้นจอประสาทตาได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นของอาการ ซึ่งมีโอกาสยับยั้งไม่ให้อาการลุกลามจนยากเกินจะรักษาได้
สิ่งสำคัญที่สุดที่ผู้ป่วยเบาหวานควรให้ความใส่ใจคือ เมื่อทราบว่าป่วยเป็นโรคเบาหวานแล้ว ควรเข้ารับการตรวจจอประสาทตาโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติบุคคลในครอบครัวป่วยเป็นโรคเบาหวาน มีภาวะน้ำหนักตัวเกิน มีค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index : BMI)สูงกว่า 25 อยู่ในภาวะตั้งครรภ์และมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินค่าปกติ ซึ่งจัดเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะเบาหวานขึ้นตา
นอกจากนี้ ภาวะความดันโลหิตสูงและระดับไขมันในเลือดสูง ยังเป็นปัจจัยเร่งให้อาการของโรคแย่ลงเร็วขึ้นด้วย การตรวจคัดกรองและพบความผิดปกติในระยะเริ่มแรกจะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาการมองเห็นและดวงตาเอาไว้ได้ เพราะฉะนั้นจึงแนะนำให้ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานควรขอรับคำปรึกษาและรับการตรวจจอประสาทตา โดยจักษุแพทย์ เพื่อท่านจะได้มีดวงตาที่มองเห็นได้ชัดเจนอีกยาวนาน