ฟลูออไรด์ ต้นเหตุ “ฟันตกกระ”

 ฟลูออไรด์ ต้นเหตุ “ฟันตกกระ”

เมื่อ น้ำเปล่าบริสุทธิ์ ที่ทุกคนรู้กันดีว่ามีประโยชน์ ยิ่งดื่ม ก็ยิ่งดีต่อสุขภาพ ส่วน สารฟลูออไรด์ ใครๆ ก็คงรู้จัก เพราะมันเป็นสารประกอบที่ได้จากฟลูออรีนพบในธรรมชาติทั่วไป ทั้งในน้ำ พื้นดิน อากาศ พืช และสัตว์  แต่ส่วนใหญ่จะพบในน้ำประปาและน้ำดื่มบรรจุขวดที่มีจำหน่ายตามท้องตลาด ซึ่งได้มีการนำสารฟลูออไรด์นี้มาใช้ประโยชน์มากมายในวงการแพทย์  ทันตแพทย์และอุตสาหกรรม  ฟลูออไรด์เป็นแร่ธาตุที่มนุษย์ต้องการในปริมาณเล็กน้อย  แต่มีความสำคัญมาก  ฟลูออไรด์เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของกระดูกและฟัน  ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง  ในทางทันตกรรมมีการใช้ฟลูออไรด์ป้องกันโรคฟันผุมานานกว่า 50 ปี  ทั้งในรูปแบบการกินและใช้เฉพาะที่บนตัวฟัน  ถ้าร่างกายได้รับฟลูออไรด์ในปริมาณพอเหมาะอย่างสม่ำเสมอจะสามารถช่วยให้ตัวฟันแข็งแกร่ง ลดอัตราโรคฟันผุได้ถึง ร้อยละ 60 – 65  และยังช่วยลดอัตราการเกิดโรคกระดูกพรุนของผู้สูงอายุได้อีกด้วย

 

และเมื่อน้ำเปล่าบริสุทธิ์ผสมผสานกับสิ่งที่มีคุณประโยชน์ในการช่วยดูแลฟันอย่าง สารฟลูออไรด์ ยิ่งเข้มข้นมันก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดีสำหรับผู้บริโภค แต่ปัจจุบันกลับพบว่ายิ่งเข้มข้นมากเท่าไรประโยชน์ทั้งหลายที่มีก็จะกลายเป็นโทษทันตาเห็น…

 

อย่างอาการ ฟันเหลือง ฟันสีน้ำตาล ฟันขาวขุ่นๆ… อาการแบบนี้คุณเป็นบ้างหรือเปล่า???

 

ล่าสุด…พบผลสำรวจของทันตสุขภาพแห่งชาติ ของกองทันตสาธารณสุข กรมอนามัย มีเด็กเป็นโรค ฟันตกกระ ประมาณร้อยละ 6.1 เหตุจากได้รับสารฟลูออไรด์ในน้ำที่ใช้บริโภคเกินขนาด ซึ่งจะพบมากในพื้นที่ทางภาคเหนือ จังหวัดลำพูน อุตรดิตถ์ และพะเยา

 

อาจเป็นเพราะ สารฟลูออไรด์ เป็นสารที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่นและไม่มีรส จึงทำให้ผู้บริโภคไม่ทราบว่าในน้ำนั้นมีฟลูออไรด์หรือไม่ ปริมาณมากน้อยเพียงไร จนกว่าจะได้รับการตรวจวิเคราะห์ทางเคมี  ซึ่งตามมาตรฐานอุตสาหกรรมน้ำสำหรับบริโภค  (มอก.257 เล่ม 1-2521) ได้กำหนดให้มีปริมาณฟลูออไรด์สูงสุดได้ไม่เกิน 1.0 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งถือเป็นระดับที่เหมาะสมที่สุด ยิ่งหากได้รับในปริมาณเข้มข้นและนานแล้วล่ะก็…จะเกิดเป็นพิษแก่ร่างกาย โดยสามารถแบ่งได้เป็น 2 แบบด้วยกัน คือ

 

แบบที่หนึ่ง การเกิดพิษแบบเฉียบพลัน  เกิดจากการรับประทานฟลูออไรด์ในปริมาณมากและ ในครั้งเดียวอาจด้วยการตั้งใจ ความเข้าใจผิด หรือด้วยการพลั้งเผลอ  นอกจากนั้นอาจเกิดกับบุคคลที่ใช้ยาฆ่าแมลงบางชนิดซึ่งมีฟลูออไรด์ผสมอยู่มาก และใช้ไม่ถูกวิธี  ปกติจะพบผู้ป่วยประเภทนี้ได้น้อย  อาการพิษที่เกิดขึ้นเริ่มจากอาการน้ำลายไหล  ทำให้เกิดความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเดิน ในการปฐมพยาบาลเบื้องต้นควรให้ผู้ป่วยกินนมหรือไข่จะช่วยทุเลาอาการและรีบนำส่งโรงพยาบาลเพื่อล้างท้อง  ถ้าร่างกายได้รับฟลูออไรด์มากขึ้นอาจทำให้กล้ามเนื้อไม่มีแรง  เกิดอาการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ ชัก แรงดันเลือดต่ำ  หัวใจล้มเหลว  และอาจเกิดไตวายและตายใน  2-4  ชั่วโมง  ขนาดที่กินแล้วทำให้ตายประมาณ  50 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม

 

แบบที่สอง การเกิดพิษแบบเรื้อรัง เกิดจากการกินฟลูออไรด์ในปริมาณมากติดต่อกันนานๆ หรืออยู่ในชุมชนที่มีฟลูออไรด์สูงตามธรรมชาติ  ได้แก่

 

– ฟลูออไรด์ความเข้มข้น 1 ส่วนในน้ำล้านส่วน  ส่งผลทำให้เกิดจุดด่างขาวบนฟันในเด็กบางราย

 

– ฟลูออไรด์ความเข้มข้น 1.4-2  ส่วนในน้ำล้านส่วน  ส่งผลทำให้เกิดรอยด่างสีเหลืองถึงสีน้ำตาลที่เคลือบฟันในกลุ่มคนจำนวนน้อย

 

– ฟลูออไรด์ความเข้มข้นมากกว่า 2 ส่วนในน้ำล้านส่วน  ส่งผลทำให้เกิดจุดสีน้ำตาลในฟันในเกือบทุกราย

 

– ฟลูออไรด์ความเข้มข้นมากกว่า 2.5 ส่วนในน้ำล้านส่วน  ส่งผลทำให้เกิดเคลือบฟันเป็นสีเข้มและไม่เรียบ

 

– ฟลูออไรด์ความเข้มข้นตั้งแต่ 10 ส่วนในน้ำล้านส่วน  ส่งผลทำให้เกิดผลต่อกระดูกและข้อ  กระดูกส่วนปลายจะหนาและหยาบ  กระดูกคดงอ  ช่วงระยะสุดท้ายทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแอ เหนื่อยง่าย เบื่ออาหาร มีการเปลี่ยนแปลงที่กระดูกสันหลังและกลายเป็นคนพิการได้  มักพบในผู้ป่วยที่ได้รับฟลูออไรด์มากเป็นระยะเวลานาน

           

ฟลูออไรด์อาจทำให้เกิดภาวะ โรคฟันตกกระ หากได้รับในปริมาณที่มากเกินไปและวัยที่มีความเสี่ยงค่อนข้างสูงนั่นคือ วัยเด็ก  โรคฟันตกกระสามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงเด็กอายุตั้งแต่ 12 เดือนจนกระทั่ง 32 เดือน

 

ดังนั้นการใช้ฟลูออไรด์ในเด็กจึงเป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง

 

 

 

 

 

 

เขียนโดย: ณัฏฐ์ ตุ้มภู่ Team Content www.thaihealth.or.th

 

 

Update:28-09-52

อัพเดทเนื้อหาโดย: ณัฏฐ์ ตุ้มภู่

Shares:
QR Code :
QR Code