“พุงยื่น” มหันตภัยร้ายทำลายสุขภาพ
แนะใช้หลัก 3 อ. พิชิตอ้วนลงพุง
ธงเหลือง สัญลักษณ์แสดงการเข้าสู่เทศกาลกินเจ ช่วงเวลาของการสะสมบุญของชาวไทยเชื้อสายจีน ด้วยการลด ละ การบริโภคเนื้อสัตว์ หันมาบริโภคอาหารที่ทำมาจากวัตถุดิบที่มีผักเป็นส่วนประกอบเป็นอาหาร ที่ได้รับการสืบทอดประเพณีกันมาอย่างยาวนาน
แต่…!!!…ใครจะนึกว่า…นอกจากจะได้สะสมบุญแล้ว ยังได้สะสมไอ้เจ้าไขมันอีกด้วย อาหารเหล่านี้มักแฝงมากับอาหารเจ ประเภทที่ต้องใช้น้ำมัน จำพวก ผัดๆ ทอดๆ อาหารเหล่านี้มักจะใช้น้ำมันในปริมาณที่มาก จึงกลายเป็นแหล่งสะสมไขมันตัวยง หากกินเข้าไปทุกวัน บางคน 3 มื้อหรือบางคนอาจมากกว่านั้น ส่งผลทำให้ร่างกายของเรานั้นสะสมไขมันไว้จนเกิดความพอดี อีกทั้งน้ำหนักตัวก็เพิ่มขึ้นและสุดท้ายคุณก็จะกลายเป็น “เจ้าอ้วน” ในสายตาคนรอบข้างที่สุด…
พุงยื่น…เป็นหนึ่งในสัญญาณอันตรายที่เตือนให้คุณรู้ว่า คุณกำลังเป็น “โรคอ้วน”…
คนที่อ้วนจนลงพุงนั้น มักมีไขมันสะสมในช่องท้องในปริมาณที่มาก ยิ่งถ้ารอบพุงมากเท่าไหร่ ไขมันที่สะสมอยู่ในช่องท้องก็จะยิ่งมากตามมาเท่านั้น ซึ่งไอ้เจ้าไขมันที่สะสมอยู่นั้น จะแตกตัวเป็นกรดไขมันอิสระเข้าสู่ตับ และมีผลให้อินซูลินออกฤทธิ์ได้ไม่ดี เกิดเป็นภาวะ “อ้วนลงพุง” ได้
น่าตกใจ!!! เมื่อกรมอนามัยได้ทำการสำรวจสภาวะอ้วนลงพุงของประชาชนในปัจจุบัน พบว่า คนไทยอายุมากกว่า 15 ปีขึ้นไป เพศชายมีภาวะอ้วนลงพุงร้อยละ 24 และเพศหญิงร้อยละ 60 โดยพบในผู้หญิงมากกว่าชายถึง 2.5 เท่าตัว โดยส่วนใหญ่มักมีสาเหตุจากการกิน กิน กิน ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย วัยรุ่นหรือสูงวัย ต่างอ้วนเพราะตัวเองไม่คุมจิตใจ ตามใจปาก อยากกินดะ ปล่อยเนื้อปล่อยตัว ไม่ออกกำลังกาย นั่งๆ นอนๆ เที่ยว เล่น กิน แล้วก็เป็นบังอรเอาแต่นอน จนพุงย้อย ๆ ที่สะสมไปด้วยไขมันกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
ไม่เพียงเท่านี้ !!! โรคอ้วนยังพาของแถมอย่าง โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง ฯลฯ มาฝากคุณอีกด้วย…นอกจากนี้รอบเอวที่เพิ่มขึ้นทุกๆ 5 เซนติเมตร จะเพิ่มโอกาสเป็นโรคเบาหวาน 3-5 เท่า ฉะนั้นพุงใหญ่เท่าใด ยิ่งอายุสั้นเท่านั้น
รู้ได้อย่างไรว่าเสี่ยงเป็นโรคอ้วน !!! สำหรับคนที่สงสัยว่าตัวเองเสี่ยงเป็นโรคอ้วนหรือเปล่าสามารถตรวจสอบด้วยตนเองอย่างง่าย ๆ ดังนี้ นำสายวัดรอบเอวของตัวเราเอง ผู้หญิงต้องมีรอบเอวไม่เกิน
ว่าก็ว่าเถอะ…ทุกคนต่างก็รู้ว่าการออกกำลังกาย เป็นทางออกที่ดีที่สุด ของการขจัดปัญหาเรื่องโรคอ้วน แต่สถิติการออกกำลังกาย กลับตรงกันข้ามกับสถิติการเกิดโรคอ้วนอย่างสิ้นเชิง เพราะจากการวิเคราะห์ขององค์การอนามัยโลกประจำภูมิภาค พบว่า ในอีก 15 ปีข้างหน้า โรคไม่ติดต่อ ซึ่งเป็นโรคที่เกิดกับประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจ มะเร็ง หลอดเลือดหัวใจตีบตัน จะกลายเป็นปัญหาหลักของอาเซียน สาเหตุสำคัญเกิดจากการไม่ออกกำลังกาย จนนำไปสู่ “โรคอ้วน” ซึ่งเป็นต้นตอของเหล่าโรคร้ายทั้งหลาย
เกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว ได้รับการเปิดเผยจากนายวิชาญ มีนชัยนันท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ว่า น่าห่วงกลุ่มเด็กไทยมีวิถีชีวิตที่ขาดการออกกำลังกายและกินอาหารไม่ถูกต้องมากขึ้น โดยเฉพาะอาหารประเภททอด ขนมกรุบกรอบที่ไม่มีประโยชน์
“ผลการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติในปี 2550 พบ ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 11 ปีขึ้นไปจำนวน 55 ล้านคน มีเพียงร้อยละ 30 หรือประมาณกว่า 16 ล้านคนที่ออกกำลังกาย ซึ่งเพิ่มจากปี 2547 เล็กน้อย ที่เหลืออีกกว่า 38 ล้านคนไม่ออกกำลังกาย จึงควรส่งเสริมและสนับสนุนการออกกำลังกายให้แพร่หลายยิ่งขึ้น” รมช.สธ.กล่าวอย่างมีหวัง
จากสถานการณ์โรคอ้วนของประชาชนที่เป็นอยู่นี้ ทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนต่างให้ความสำคัญ ร่วมกันรณรงค์ต่างๆนาๆ โดยเฉพาะสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่ได้ดำเนินการรณรงค์โครงการ “คนไทยไร้พุง” มาเป็นระยะเวลานานและทำมาอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุดกับแคมเปญรณรงค์ชุด “3 อ.” เพราะภาวะอ้วนลงพุงเกิดจากการขาดสมดุลระหว่างพลังงานที่ได้รับ และพลังงานที่ใช้ไป จึงต้องปรับสมดุล ด้วย 3 อ. คือ อ.อาหาร ทำได้โดยการควบคุมอาหารและปรับเปลี่ยนการบริโภคอาหาร งดน้ำหวาน ของหวาน ของทอด ของมัน เพิ่มการบริโภคปลา ผักและเต้าหู้ให้พอเพียง ลดการบริโภคแป้ง ข้าว และผลไม้ อ.อารมณ์ คือ การข่มอารมณ์อยากกิน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดคือ ควบคุมสิ่งกระตุ้นจากทั้งภายในและภายนอก สังเกตว่าปัจจัยใดเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความอยากรับประทาน และพยายามหลีกเลี่ยงหรือสะกดใจตัวเองให้มากขึ้น
และสุดท้าย อ.ออกกำลังกาย ควรออกกำลังกายควบคู่กับการควบคุมอาหาร แทรกรูปแบบการออกกำลังกายในชีวิตประจำวันให้มากขึ้น และออกกำลังกายอย่างน้อย 30 – 60 นาทีต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์
โดยนายสง่า ดามาพงษ์ นักวิชาการระดับ 9 ด้านโภชนาการ กรมอนามัย กล่าวถึงหลัก 3 อ. ว่า การลดน้ำหนักแบบ 3 อ. นอกจากจะทำให้เกิดการประหยัด เพราะไม่ต้องซื้อยาหรือเข้าสถาบันลดน้ำหนักที่ราคาแพงระยับแล้ว ยังทำให้ลดน้ำหนักได้อย่างถาวรยั่งยืน แถมยังเกิดพฤติกรรมการกินและออกกำลังกายที่ดี ติดตัวไปตลอดชีวิต นำไปสู่การมีสุขภาพดี แม้จะใช้ระยะเวลานานกว่าการกินยาก็ตาม โดยการลดน้ำหนักแบบ 3 อ.จะเป็นการลดแบบค่อยเป็นค่อยไป ให้ร่างกายค่อยๆ ปรับตัวลดจำนวนและขนาดของมวลไขมันลง สัปดาห์ละไม่เกินครึ่ง กก.หรือเดือนละ 2 กก.หากทำได้เดือนละครึ่งถึง 1 กก.ก็นับว่าเก่ง โดยต้องลดอย่างต่อเนื่องไม่ให้หยุดทำ ใช้เวลาประมาณ 1-2 ปี รูปร่างก็จะเริ่มกระชับหรือเฟิร์มขึ้น
นอกจากการฝ่าวิกฤตอ้วนลงพุงด้วยหลัก 3 อ. แล้ว การงดอาหารจำพวกแป้ง แล้วหันมา รับประทานผักผลไม้แทนก็สามารถช่วยลดพุงของคุณได้ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลกินเจ อย่างที่นายสง่า ได้ออกมาเผยว่า เพื่อสุขภาพที่ดี ประชาชนที่ถือศีล กินเจควรกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ในแต่ละมื้อ โดยเฉพาะอาหารที่ให้สารอาหารโปรตีน ที่ได้จากถั่วเมล็ดแห้ง ซึ่งต้องมั่นใจว่าวัตถุดิบที่นำมาปรุงแทนเนื้อสัตว์ ต้องทำมาจากถั่วเมล็ดแห้งไม่ใช่จากแป้ง ที่นำดัดแปลงรูปร่างให้เหมือนกับเนื้อสัตว์ ทำให้เมื่อกินเข้าไปก็จะได้เฉพาะแป้งกับผัก จึงมีผลทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นได้
สิ่งที่จะขับเคลื่อนให้เรามีสุขภาพที่ดี บุคลิกที่สง่างาม สามารถมีชีวิตที่ยืนยาวได้นั้น นั่นก็คือร่างกายของเรา แล้วเรายังจะปล่อยปละละเลยให้มีไขมันส่วนเกิน มาเป็นตัวถ่วงให้ทุกสิ่งทุกอย่างหมดไปจากชีวิตของเราได้หรือ มาช่วยกันกำจัดวายร้าย อย่างเจ้าไขมัน กับพุงย้อย ๆ ให้ออกไปจากชีวิตเรากันดีกว่า….
ที่มา : อารยา สิงห์สวัสดิ์ Team content www.thaihealth.or.th
Update : 03-10-51
อัพเดทเนื้อหาโดย : อารยา สิงห์สวัสดิ์