พัฒนาระบบ ดูแลผู้สูงวัยโดยชุมชน
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ
ภาพประกอบจาก สสส.
อีก 5 ปี คาดการณ์กันว่า สังคมไทยจะมีผู้สูงอายุมากถึงร้อยละ 25 ของประเทศทั้งหมด ซึ่งประเทศที่พัฒนาแล้วหลายแห่งจะมีสวัสดิการสำหรับคนในแต่ละช่วงอายุแตกต่างกัน ยิ่งสูงอายุมากเท่าไหร่ก็จะได้รับครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
หากแต่สังคมไทยยังไม่มีสวัสดิการในส่วนนี้อย่างเพียงพอ จึงเกิดแนวคิดการส่งเสริมสุขภาวะผู้สูงวัย ด้วยทุนทางสังคมและศักยภาพของชุมชนท้องถิ่น
ในการประชุมเชิงปฏิบัติการ "เวทีสานพลังสูงวัยสร้างเมือง" ที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ 25 ศูนย์เรียนรู้ด้าน การพัฒนาระบบการดูแล ผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่น ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือจัดขึ้น ดวงพร เฮงบุณยพันธ์ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน สสส. กล่าวว่า แนวคิดการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีส่วนร่วมสร้างพลังให้กับ ผู้สูงอายุ คือ การสร้างระบบดูแลทางหนึ่ง โดยต้องกระตุ้นผู้สูงอายุให้รู้สึกว่าตนเองยังมีพลัง มีศักยภาพ ความรู้ ความสามารถ ไม่ต้องเป็นผู้รับเสมอไป เพราะถ้าเป็นผู้รับก็จะรู้สึกด้อยค่า ด้อยความสำคัญ ขณะเดียวกันก็ต้องช่วยกันสื่อสารเรื่อง สูงวัยสร้างเมืองให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
ที่ผ่านมามีหลายพื้นที่ทำอย่างครบวงจร เช่น เทศบาลตำบลขัวมุง อ.สารภี, เทศบาลตำบลสองแคว อ.ดอยหล่อ, เทศบาลตำบลแม่ปูคา อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ซึ่งมีการใช้ทุนทางสังคมจัดการในพื้นที่ด้วยตนเอง ส่วนบนพื้นที่สูงก็มีการจัดการตามวิถีชีวิต และแม้ว่าในพื้นที่บางแห่งมีการทำอย่างไม่เหมาะสม หรือไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ ก็ต้องสร้างความเข้าใจ โดยดึงนักวิชาการ หมอ ไปคุยว่าอะไรถูกต้อง อะไรไม่ถูกต้อง ควรปรับปรุงอย่างไร
ดาภา อิ่นแก้ว ประธานชมรมอุ่นใจ เทศบาลตำบลแม่ปูคา อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ เล่าว่า ต.แม่ปูคา ประสบปัญหาผู้ชายวัยทำงานมีอัตราการฆ่าตัวตายสูง จากสถิติ โรงพยาบาลสันกำแพง พบว่าในปี 2552-2554 มีอัตราการฆ่าตัวตายของคนวัยทำงานปีละ 4-5 คน เมื่อ อสม. ลงเยี่ยมบ้าน ก็พบว่า นอกจากปัญหาฆ่าตัวตายแล้ว ยังมี ผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียงมีภาวะซึมเศร้า ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป เนื่องจากสูญเสียลูกหลานที่ฆ่าตัวตายหรือลูกหลานออกไปทำงานนอกบ้าน ไม่มีเวลาพูดคุยกับ ผู้สูงอายุ
"การแก้ไขปัญหาการฆ่าตัวตายจึงต้องทำควบคู่กับการดูแลภาวะซึมเศร้า ในกลุ่มผู้สูงอายุด้วย อันเป็นที่มาของ การตั้ง "ชมรมอุ่นใจ" ในปี 2553 ซึ่งชมรมมีอาสาสมัครเข้ามาเป็นทีมงานประมาณ 30-40 คน ได้รับการอบรมด้านการให้ คำปรึกษา ถ้า อสม.ให้ข้อมูลว่ามีกลุ่มเสี่ยงในหมู่บ้าน ก็จะมีทีมลงพื้นที่ โดยประสานงานกับทางโรงพยาบาล ควบคู่กับการใช้กระบวนการชุมชนเยียวยา และในขณะนี้กำลังจะร่วมมือกับเทศบาลตำบลแม่ปูคา ตั้งศูนย์ประสานงานสุขภาพจิต ถ้าผู้ป่วยมาที่นี่จะได้รับคำปรึกษา"
แม้ปัญหาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุยังไม่หมดไป แต่พบสำรวจพบว่าแนวทางดังกล่าวได้ผลตอบรับที่ดีขึ้น ผู้สูงอายุหลายรายสุขภาพจิตดี และสามารถหารายได้เลี้ยงครอบครัวได้