พลิกวิกฤติ “น้ำท่วม”ให้เป็นการรวม“น้ำใจ”

สร้างประเทศไทยให้น่าอยู่เหมือนเดิม

พลิกวิกฤติ “น้ำท่วม”ให้เป็นการรวม“น้ำใจ” 

            ใครว่า ประเทศไทยกำลังบอบช้ำหรืออาจจะเป็นจริงอย่างที่ใครหลายคนพูดกัน หากมองย้อนกลับไปดูกับเรื่องราวและเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมา ทั้งความขัดแย้งของคนในสังคม การแบ่งพรรคแบ่งพวก แบ่งสี แบ่งฝ่าย ซึ่งนั้นเป็นเหตุให้เกิดความรุนแรงในบ้านเมือง ส่งผลกระทบอย่างมากต่อความเป็นอยู่ของคนในสังคม รวมไปถึงเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ของประเทศ

            อีกทั้งยังเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เมื่อในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา ประเทศเรารับผลกระทบจากพายุเมกีที่พัดผ่านประเทศฟิลิปปินส์ เป็นเหตุให้เกิด “อุทกภัย” ร้ายแรงขึ้นในหลายจังหวัด ทำให้บ้านเรือนของประชาชนหลายครัวเรือนจมอยู่ใต้น้ำ เสียหายอย่างหนักแบบประเมินค่ามิได้

          แต่ภายใต้บรรยากาศแห่งความเศร้าหมองที่ “อุทกภัย” ได้พัดพาทุกสิ่งอย่างให้หายไปหลงเหลือแต่คราบน้ำตา แต่อีกด้านหนึ่งเรากลับเห็นภาพของความรัก ความสามัคคี ความมีน้ำใจของคนในชาติ ที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันอีกครั้ง นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่เราจะร่วมกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันที่จะทำประเทศไทยให้น่าอยู่ขึ้นมาอีกครั้ง

           ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า เหตุการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นเห็นได้ชัดเจน ว่าในภาคประชาชนมีกลไกการตอบสนองต่อปัญหาได้อย่างทันท่วงที เครือข่ายของสังคมมีการรวมตัวได้อย่างรวดเร็ว สามารถใช้ไอที เฟสบุ๊ค ทวิตเตอร์เข้ามาเชื่อมโยงความช่วยเหลือ ได้ครอบคลุมและทั่วถึง แสดงให้เห็นพลังทางสังคมที่ก่อตัวอย่างชัดเจน และรวดเร็ว ซึ่งหากคนไทยใช้วิกฤติที่เกิดขึ้นให้เป็นโอกาส รวมใจเป็นหนึ่งเดียวจะช่วยสร้างประเทศไทยให้น่าอยู่ขึ้นได้

            ด้าน นายรัฐภูม อยู่พร้อม หนึ่งในผู้ที่อุทิศตนเป็นจิตอาสาช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและผู้ก่อตั้งมูลนิธิ 1,500 ไมล์ กล่าวกับเราว่า การที่เกิดวิกฤติภัยธรรมชาติเช่นนี้ ในมุมหนึ่งมันคือความเสียหาย แต่อีกด้านหนึ่งมันทำให้เกิดการรวมพล เกิดความช่วยเหลือเกื้อกูลกัน สิ่งที่ตนเห็นคือภาพของคนที่เคยขัดแย้งกัน แต่ในสภาวการณ์เช่นนี้พวกเขากลับมาร่วมไม้ร่วมมือกันทำงานให้ความช่วยเหลือ โดยมองข้ามสิ่งที่เคยขัดแย้งกันมา วิกฤตตัวนี้เป็นการรวมแผ่นดินกลับมา ผมเชื่อเหลือเกินว่าบ้านเรากลับมาสงบ น่าอยู่อีกครั้ง

นอกจากนี้การเกิดอุทกภัยครั้งนี้ ยังเป็นบทเรียนครั้งสำคัญที่จะสอนเราว่า อย่ารอพึ่งรัฐบาลหรือผู้อื่นเพียงอย่างเดียว ซึ่งสมัยก่อนบ้านใครเสียหาย คนในหมู่บ้านก็มาช่วยกันซ่อมแซม เพียงไม่กี่วันก็กลับมาเช่นเดิม แต่สมัยนี้คนเราติดอยู่กับการขอความช่วยเหลือเพียงอย่างเดียวทำให้เกิดความล่าช้านายรัฐภูมกล่าว

เมื่อวิกฤตครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่หากเรานำมันมาใช้เป็นโอกาสมันจะมีค่ายิ่ง ซึ่งผู้ก่อตั้งมูลนิธิ 1,500 ไมล์ บอกกับเราต่อว่าเมื่อประเทศไทยกำลังบอบช้ำ ถึงเวลาแล้วที่ทุกคนทุกฝ่ายต่างต้องลุกขึ้นมาช่วยเหลือคนเองและคนรอบข้าง ทำตนเป็นจิตอาสา และที่สำคัญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเองต่างก็ควรศึกษาบทเรียนในเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมา เพราะภัยธรรมชาตินั้น มันก็วนเวียนเกิดแล้วเกิดอีกอยู่เช่นนี้ เปลี่ยนแปลงเพียงแค่วันเวลา หากมีการเตรียมพร้อมก็จะลดความสูญเสียทั้งชีวิต ทรัพย์สินและเวลาได้อีกมาก

เพราะหากประชาชนไม่ช่วยตนเอง หน่วยงานให้ความช่วยเหลือทำงานล่าช้า สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ ประชาชนที่ประสบความเดือดร้อนบางรายเกิดอารมณ์โกรธ จนเป็นเหตุให้เกิดความแตกแยกในสังคมเหมือนเช่นเคย บางรายเกิดอาการซึมเศร้าจนเจ็บป่วย ทำให้ประเทศขาดกำลังคนที่มีประสิทธิภาพ ชาติก็จะไม่พัฒนาไม่น่าอยู่ในที่สุดนายรัฐภูมกล่าว

            หากทุกฝ่ายรู้หน้าที่ของตน ร่วมไม้ร่วมมือกัน ช่วยเหลือกัน ไม่ว่าวิกฤตใด ประเทศไทยก็จะยังคงน่าอยู่เหมือนเดิม…

 

 

 

 

 

เรื่องโดย : ณัฏฐ์ ตุ้มภู่

 

 

Update:01-11-53

อัพเดทเนื้อหาโดย : ณัฏฐ์ ตุ้มภู่

Shares:
QR Code :
QR Code

ใส่ความเห็น

ระบุข้อความ