พลังเยาวชน สร้างสื่อรณรงค์ลดพุงไร้โรค
ความอ้วนถือเป็นภัยคุกคามคนทั่วโลกทุกวัยไม่เว้นแม้แต่เด็กไทย ที่ขณะนี้มีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้นอย่างน่าตกใจ อาจเป็นเพราะการใช้ชีวิตของคนสมัยนี้สะดวกสบาย ขาดการเคลื่อนไหวร่างกาย เช่น ออกกำลังกาย และที่สำคัญถูกโฆษณาชวนเชื่อจากอาหารที่ไม่ได้คุณภาพอุดมไปด้วยความหวาน มัน เค็ม จึงทำให้รอบพุงและน้ำหนักตัวขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
การขจัดปัญหาข้างต้นจำเป็นที่จะต้องปลูกฝังเรื่องออกกำลังกายที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งสร้างความเข้าใจเรื่องรับประทานกินให้ถูกหลักสุขภาวะ และควบคุมอารมณ์ให้เกิดความสมดุล อันนับเป็นแนวทางที่ส่งเสริมให้พวกเด็กๆ เติบโตด้วยร่างกายแข็งแรง และลดความเสี่ยงต่างๆ จากโรคภัยไข้เจ็บมากมายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และโรคปวดข้อต่างๆ การปลูกฝังดังกล่าวนั้นสามารถทำได้ หากมีการใช้สื่อมาช่วยกระตุ้นความสนใจ
เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จับมือภาคีเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน มูลนิธิสร้างเสริมสื่อศิลปวัฒนธรรมภาคประชาชน จัดโครงการ "ปิ๊งส์เด็กเฮ้ว นักผลิตสื่อสร้างเสริมสุขภาวะสร้างแรงบันดาลใจปี 2" เพื่อให้เยาวชนรุ่นใหม่ถ่ายทอดแนวคิดการสร้างเสริมสุขภาวะที่ดีให้ชีวิตผ่านการผลิตสื่อต่างๆ อาทิ เรื่องสั้น การ์ตูนวาด สื่อดิจิตอลและอินโฟกราฟฟิก ภายใต้หัวข้อ "3 อ."
นางเบญจมาภรณ์ จันทรพัฒน์ ผู้อำนวยการศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สสส. กล่าวถึงที่มาโครงการว่า สื่อในปัจจุบันมีผลต่อสังคมและประชาชนอย่างมาก จึงต้องการสนับสนุนให้เด็กรุ่นใหม่ที่มีความสามารถด้านการสื่อสารและสร้างสื่อ ร่วมแสดงพลังเป็นอีกหนึ่งเสียงสะท้อนให้กับสังคม เพื่อให้ตระหนักถึงภัยโรคอ้วนและการสร้างสุขภาวะให้ตนเองและคนรอบกาย
สำหรับในปีนี้ โรคอ้วนนับได้ว่าเป็นโรคฮิตประจำปี และเป็นหนึ่งในโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ซึ่งเราจึงต้องเร่งให้ความรู้ตั้งแต่วัยเด็ก โดยแนวคิดที่น้องๆ แสดงออกมาผ่านสื่อที่ประกวดนั้นจะถูกเผยแพร่ในทุกสื่อของ สสส. เพื่อสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจในเรื่องของการมีสุขภาวะที่ดีต่อไป
ด้าน นายพิริยะ ทองสอน เลขาฯ มูลนิธิสื่อเพื่อเยาวชน เล่าว่า โครงการนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 2 และมีการประกาศผลรางวัลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยหัวข้อ "3 อ." รางวัลชนะเลิศด้านสื่อดิจิตอลมีเดีย ได้แก่ ผลงานเรื่อง "ช่วยตัวเอง" จากทีม "Amigo" มหาวิทยาลัยศรีปทุม รองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ ผลงานเรื่อง "สิ่งศักดิ์สิทธิ์" ทีม "มหรสพ" มหาวิทยาลัยศรีปทุม รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 คือ ผลงานเรื่อง "ระบาด" ทีม "ชื่อทีม" มหาวิทยาลัยศิลปากร รางวัลชมเชย 2 รางวัล ได้แก่ ผลงาน "หึย…น่ารักอ่ะ" จากทีม "จบป่ะ" มหาวิทยาลัยศรีปทุม และ "ยั้งอยาก" จากทีม "FAT" โรงเรียนบางปะกอกวิทยาคม และรางวัลชนะเลิศด้านอินโฟกราฟฟิก คือ น.ส.นฤภร ชวาลทัต จากโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย
นอกดูจากสื่อจากน้องๆ แล้ว ผู้สนใจยังสามารถเดินทางมาเข้าชมนิทรรศการลดพุงลดโรคที่เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย ที่จัดขึ้น ณ โซนนิทรรศการหมุนเวียน ชั้น 2 อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สสส. ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2557 ทุกวันอังคาร-เสาร์ เวลา 10.00-17.00 น. เชื่อว่าอาจช่วยให้เกิดแรงฮึดสำหรับคนอ้วนที่คิดจะลดน้ำหนักได้อย่างแน่นอน
ทั้งนี้ นิทรรศการแบ่งเป็น 3 โซน โซนแรกคือ FAT Check Station บอกถึงวิธีการเช็กตนเองอย่างง่ายว่ามีภาวะอ้วนลงพุงหรือไม่ ด้วยการชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง และวัดรอบเอว สำรวจพฤติกรรมการกินในชีวิตประจำวัน ทั้งปริมาณน้ำตาลไขมันโซเดียมและพลังงานที่ควรได้รับในแต่ละวัน และเรียนรู้การอ่านฉลากโภชนาการ
โซนสอง You are What You Eat เป็นพื้นที่ที่ทำให้รู้ถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับร่างกายจากพฤติกรรมการกินที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ภายใต้ชื่อทัวร์อวัยวะ โดยจำลองนิทรรศการให้เป็นอวัยวะของคนเราทั้งหัวใจ ตับ ไต และแสดงให้เห็นว่าหากรับประทานอาหารแต่ละประเภทจะเกิดผลต่อร่างกายอย่างไร เช่น ความเค็มทำให้ร่างกายระบายน้ำออกได้ช้าลง และน้ำไปกีดขวางการเดินทางของเลือดจนกลายเป็นสาเหตุของโรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น
และโซนสาม Fit Fight Fat แนะนำทางรอดจากโรคอ้วนลงพุงด้วยหลัก 3 อ. รวมถึงการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ลดหวาน มัน เค็ม และกินถูกส่วน เพิ่มผักและผลไม้ และมีการนำเสนอรูปแบบการออกกำลังกายที่หลากหลาย เช่น การปั่นจักรยาน
หลังจากรู้ทฤษฎีแล้วก็ถึงคราวปฏิบัติ ซึ่งมูลนิธิหมอชาวบ้าน ภาคี สสส. มีคำแนะนำง่ายมาลองให้ทำกัน ประการแรก คือต้องกินอาหารให้ครบ 3 มื้อ เพราะจะช่วยให้ร่างกายได้รับพลังงานที่กระจายเหมาะกับความต้องการในการทำกิจกรรมต่างๆ โดยเฉพาะควรเน้นรับประทานอาหารมื้อเช้าและมื้อกลางวัน ซึ่งให้พลังงานกระตุ้นการทำงานและสมาธิในการเรียน สอดคล้องกับงานวิจัยจากต่างประเทศระบุว่าผู้ที่กินอาหารเช้าทุกวันจะมีโอกาสเกิดภาวะอ้วนและโรคเบาหวานน้อยกว่าผู้ที่ไม่กินอาหารเช้าถึงร้อยละ 35-50 ขณะที่มื้อเย็นก็มีความจำเป็น แต่ควรทานในปริมาณที่น้อย
ทั้งนี้ หากเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงอาหารว่างหรือระหว่างมื้อ โดยเฉพาะช่วงทำงานหรือประชุมที่ให้พลังงานมากโดยไม่จำเป็น อาทิ ขนมปัง หรือกาแฟเย็น หรือ เครื่องดื่มประเภท "ทรีอินวัน" ยิ่งคนอ้วนควรดื่มน้ำเปล่าก็เพียงพอแล้ว ยกเว้นในกรณีของวัยเด็กและเยาวชนที่ต้องการการเจริญเติบโต ก็สามารถรับประทานอาหารได้มากกว่า
สิ่งที่สำคัญและถือหัวใจของการลดความอ้วน คือการกินอาหารให้ครบหมวดหมู่ โดยเน้นการกินผักให้มากขึ้น กินไขมันให้น้อยลงกิน ควรหลีกเลี่ยงแป้ง ของทอด หรือผัดที่มีการใช้น้ำมันมากๆ หรือเปลี่ยนวิธีการประกอบอาหารมาเป็นต้ม นึ่ง ย่างแทน น้ำสลัด ไอศกรีม เป็นต้น รวมทั้งหลีกเลี่ยงส่วนประกอบ เนย นม ไข่แดง กะทิ เช่น ผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ต่างๆ จำพวกเค้ก คุกกี้ พาย
ส่วนความกังวล ว่าหากไม่กินอาหารประเภทข้าวแป้งและไขมัน อาจทำให้รู้สึกหิว จึงขอแนะนำให้กินผักมากขึ้น เพราะมีส่วนประกอบของเส้นใยอาหารมาก นอกจากช่วยในการขับถ่ายแล้วยังช่วยทำให้รู้สึกอิ่ม และทำให้ได้รับสารธรรมชาติที่เป็นประโยชน์กับร่างกายด้วย ถ้าเป็นไปได้ อาหารทุกมื้อจำเป็นต้องมีผักเป็นส่วนประกอบ
สำหรับผลไม้แนะนำให้กินแค่พอประมาณ คือครั้งละ 6-8 ชิ้น วันละ 2-3 ครั้ง หากมากกว่านี้ก็จะไม่ดี เพราะผลไม้ทุกชนิดมีแป้งหรือน้ำตาลเป็นองค์ประกอบ และบางชนิดให้พลังงานเท่ากับข้าว หลายคนมักเข้าใจผิดว่ามื้อเย็นไม่กินข้าว แต่ขอกินผลไม้แทน เพื่อต้องการลดน้ำหนัก อาจเป็นความเข้าใจผิดและไม่สามารถลดความอ้วนได้ เพราะได้รับน้ำตาลและพลังงานมาก
แต่ที่สำคัญสุด หากจะต้องการลดน้ำหนักให้รวดเร็วต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วย อย่างน้อยขั้นต่ำวันละ 30-40 นาที ต่อเนื่อง 3-4 วันต่อสัปดาห์ควบคู่ไปด้วย
หลังจากดูฝีมือน้องๆ ผลิตสื่อแล้ว อย่าลืมแวะไปดูนิทรรศการจากนั้นให้กำลังใจตัวเองด้วยการลงมือปฏิบัติ หากทำได้ตามนี้รับรองสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไร้โรคปราศจากพุง หุ่นหล่อสวยกันทุกคน
ที่มา: เว็บไซต์ไทยโพสต์