พลังอ่านของแม่สานพลังสมองลูก
ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สสส. จัดกิจกรรม "พลังอ่านของแม่ สานพลังสมอง และทักษะชีวิตเพื่อลูก"
เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษา 84 พรรษา ในปีนี้ อีกทั้งตระหนักดีว่าหนังสือและการอ่านเป็นรากฐานสำคัญของการเรียนรู้ ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สสส. จัดกิจกรรม "พลังอ่านของแม่ สานพลังสมอง และทักษะชีวิตเพื่อลูก" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ "หัวใจกับใบโพธิ์ ครั้งที่ 7 : 84 พรรษา ฟ้าห่มดินทั่วถิ่นไทย" พร้อมเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านการส่งเสริมพัฒนาการลูกน้อยมาให้ความรู้ เมื่อวันก่อน
ดร.อรสุดา เจริญรัถ ผู้ช่วยเลขาธิการโครงการพระดาบสจังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวถึงพระราชจริยวัตรของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในด้านการถ่ายทอดนิสัยใฝ่รู้รักการอ่านสู่พระราชโอรสและพระราชธิดาว่า ผู้ที่จะสะท้อนพระราชจริยวัตรด้านการอ่านของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้ดีที่สุดคือ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งคนไทยทุกคนก็คงจะเห็นพ้องต้องกันว่าทรงเป็นผลผลิตที่เกิดจากการหล่อหลอมของแม่ พลังของแม่ที่นอกเหนือจากจะทรงเป็นนักอ่านด้วยพระองค์เองแล้ว ยังทรงมีบทบาทสำคัญต่อการส่งเสริมการอ่านให้แก่เยาวชน คนไทยทั่วประเทศอย่างต่อเนื่องและยาวนาน
สำหรับหัวข้อ เอ็กเซ็กคูทีฟ ฟังก์ชัน (Executive Function) หรือ "อีเอฟ" ซึ่งกำลังเป็นที่สนใจอยู่ในขณะนี้ สุภาวดี หาญเมธี ประธานสถาบันอาร์แอลจี (รักลูก เลิร์นนิ่ง กรุ๊ป) ขยายความให้เข้าใจว่า ความรู้เรื่องอีเอฟ เป็นความรู้ ที่มาจากประสาทวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีการค้นคว้าเรื่องนี้มามาก พอสมควร ก่อนนี้เราจะดูพัฒนาการเด็กจากการสังเกตจากพฤติกรรม ในขณะนั้นยังไม่มีเทคโนโลยีที่ทำให้เรารู้กระบวนการคิดของ สมอง แต่ปัจจุบันมีเครื่องมือ FMRI ที่ทำให้เห็นภาพของสมองได้ดีมากขึ้น เช่น เขากำลังคิดแบบนี้สมองส่วนไหนมีเลือดไปหล่อเลี้ยง มีประจุไฟฟ้าไปทำงาน นักวิทยาศาสตร์สายประสาทวิทยาศาสตร์ได้เฝ้าสังเกต จนได้ข้อสรุปว่า เด็กมีชุดที่เรียกว่า ทักษะสมองอีเอฟอยู่ตรงสมองส่วนหน้า ซึ่งทำหน้าที่เสมือนซีอีโอในการกำกับสั่งการ เช่น มาเจอสถานการณ์แบบนี้ จะคิดอย่างไร จะรู้สึกอย่างไรจะแก้ปัญหาอย่างไร คำถามก็คือ การที่รู้ว่าทักษะสมองมันทำงานอย่างไร ยังไม่สำคัญเท่ากับความรู้ที่ว่ามันฝังเป็นชิพอย่างไร ความรู้ชุดนี้เราได้มาจากศูนย์ประสาทวิทยา มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งมีนักวิชาการที่ทำการศึกษาต่อเนื่องจากที่ต่างประเทศทำ
"อีเอฟ ทำให้นักการศึกษาทั่วโลกตื่นเต้นกันมากก็เพราะสิ่งที่เขาค้นพบก็คือ มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพที่พัฒนาทักษะอีเอฟ ซึ่งจะพัฒนาได้ดีในช่วงวัย 0-6 ขวบ สมองของคนเราจะพัฒนาได้เต็มเมื่ออายุประมาณ 23-24 ปี ซึ่งนั่นลบล้างความเข้าใจของเรามาโดยตลอดว่า สมองเจริญได้เต็มอายุ 18-19 ปี อีเอฟประกอบด้วยทักษะทั้งหมด 9 ด้าน แต่ด้านพื้นฐานประกอบด้วยทักษะ 3 ด้าน คือ 1.เวิร์กกิ้ง เมมโมรี่ ความจำเพื่อใช้งานไม่เหมือนกับความจำท่องจำ เป็นความจำซึ่งเกิดจากประสบการณ์จริงแล้วบันทึกความทรงจำนั้นเข้าไปในสมอง ซึ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับความสุข เช่น นั่งตักแม่อ่านหนังสือแล้วมีความสุข เขาก็จะบันทึกเอาไว้ และถูกดึงมาใช้ในสถานการณ์ที่สอดคล้อง 2.อินฮิบิทอรี่ คอนโทรล (Inhibitory Control) คือทักษะการหยุด และค่อยๆ คิดว่าสิ่งนี้ควรหรือไม่ควร เป็นทักษะที่เกิดขึ้นได้จากการอบรมสั่งสอนให้รู้จักยับยั้งชั่งใจเป็น รู้จักอดทน รอคอย 3.ชีฟติ้ง คือการยืดหยุ่น เด็กที่เจอสถานการณ์บ่อยๆ จะสามารถรู้ได้ว่า ไม่จำเป็นต้องได้เดี๋ยวนี้ แต่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ ไม่ยึดติดกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นพื้นฐานของการคิดนอกกรอบ คิดสร้างสรรค์" สุภาวดี กล่าวปิดท้าย
ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก