พลังสร้างค่ายSOS ‘เปิดตา-เปิดใจ’ เด็กไทย
ต่อเนื่องมาจนถึงปีที่ 8 สำหรับโครงการดีๆ เพื่อพัฒนาศักยภาพเยาวชนได้เรียนรู้การใช้ชีวิตที่มีธรรม กับ “ค่ายsos (seeds of spirituality) บ่มเพาะ แตกหน่อ ต่อยอดเมล็ดพันธุ์แห่งปัญญา” เพื่อพัฒนาศักยภาพเยาวชนได้เรียนรู้การใช้ชีวิตที่มีธรรม ที่ “เสถียรธรรมสถาน”ได้จัดขึ้น โครงการที่ได้รับการสนับสนุนอย่างดียิ่งจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
ค่าย sos นี้ เป็นอีกโครงการหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนความเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งปัญญา ที่พร้อมแตกหน่อออกใบเพื่อก้าวออกไปสู่โลกภายนอกอย่างคนมีคุณภาพ เนื่องจากการมีกาย และจิตใจที่แข็งแกร่ง รับรู้ความเป็นจริงของสังคม ขณะเดียวกันก็พร้อมสร้างประโยชน์กลับสู่สังคม อย่างรู้จักการให้ ให้เพื่อความสงบสุข และความรักของคนในประเทศ และขยายสู่สังคมโลกต่อไป
ด้วยการส่งเสริมให้ร่วมกลุ่มสร้างสรรค์ผลงานจากการทำเวิร์กช็อปเกี่ยวกับการผลิตสื่อสร้างสรรค์แบ่งออกเป็น 8 สาขาหลัก ได้แก่ 1.หนังสั้นและศิลปะภาพถ่าย 2.รายการทีวี 3.ธรรมดา…ธรรมแดนซ์ 4.ละครหลังฉาก 5.คนธรรม…ทำเพลง 6.คนธรรมเบื้องหน้า (mc/พิธีกร) 7.ธรรมออนไลน์ และ8.นิตยสารธรรมสวัสดี
ในเรื่องนี้เราได้มุมมองดีๆ จากน้องๆที่ร่วมค่ายเพียงบางส่วนจาก 300 กว่าชีวิต ที่ร่วมหัวจมท้ายกันตลอดสัปดาห์ อย่าง มุฮัมมัดกาแม มะแซ น้องกาละแม เวิร์กช็อปรายการวิทยุ mc, dj ว่า ผมคาดหวังอยากพัฒนาฝีมือในการเป็น mc พอมาได้อบรมทำให้รู้มากมายจากครูต้นน้ำ ซึ่งตรงนี้จะนำไปใช้ในการเรียนการสอน เพราะผมอยากเป็นครู และตัวผมทำงานจิตอาสาอยู่ จะเอาความรู้ไปใช้ในการพูดช่วยชุมชนต่างๆ เพื่อถ่ายทอดความรู้ที่ผมได้รับ เนื่องจากปัจจุบันปัญหาสังคมที่เห็นบ่อยคือความรุนแรงของสังคม ไม่ว่าจะภาคใต้ ม็อบต่างๆ จนหลายๆ คนคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ คิดว่าผมคงมีส่วนช่วยได้บ้าง เพราะอยากเป็นครู จึงอยากจะปลูกฝังกับเด็ก เพราะอีกหน่อยเด็กก็คืออนาคตของชาติ
ด้าน จิดาภา วงศ์นิสากร น้องเกศเวิร์กช็อป “ธรรมดา…ธรรมแดนซ์“เล่าว่า เข้าค่ายครั้งนี้ไม่ใช่แค่การเข้าค่ายค่ะตอนแรกคิดว่าอาจจะเอาการเต้นมาล่อเด็กๆ เฉยๆ แต่ที่จริงไม่ใช่ แต่มันทำให้เกศได้ฝึกเต้น ฝึกสมาธิ วินัย ธรรมะคุ้มค่ามากค่ะ ส่วนการจะนำไปใช้ในสังคมคิดว่าการเต้นเป็นสิ่งที่ทำให้เยาวชนได้ประโยชน์ดีกว่าไปติดยาเสพติด และสังคมตอนนี้ไม่สามัคคี อย่างเราเป็นเยาวชน ถ้าได้รับการปลูกฝังข้อคิดดีๆ แล้วไปเผยแพร่ ออกไปจากจุดเล็กๆ กระจายไปเรื่อยๆ เยาวชนรุ่นใหม่อย่างพวกเราก็อาจจะมีส่วนช่วยตรงนี้ได้
ขณะที่ ตติยะ มีระหงส์ น้องบิ๊กที่เข้าเวิร์กช็อป “ธรรมออนไลน์” ย้ำให้ฟังว่า การเข้าค่ายนี้ที่ได้ก่อนเลยคือยกระดับปัญญา จิตใจและการอยู่ร่วมกันให้น่าอยู่ สื่อธรรมออนไลน์ที่จริงแล้วมีเพื่อกลุ่มวัยรุ่นโดยเฉพาะ เพราะต่อไปประชากรที่ใช้สังคมออนไลน์จะเพิ่มขึ้น จะทำให้ผู้ใช้มีความคิดมีจริยธรรมในการใช้สื่อออนไลน์มากขึ้น สิ่งที่เห็นตอนนี้คือความไม่ยอมรับในความคิดในตัวตนของคนอื่น ผมเป็นแค่คนคนหนึ่ง สิ่งที่ผมทำได้คือผมมีจิตอาสา และพร้อมจะร่วมกับกลุ่มสังคมใหญ่ที่มีแนวคิดในทางเดียวกัน ก็คิดว่าน่าจะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ครับ
ปิดท้ายที่ เอกสิทธิ์ บุญมากหรือ พี่ต้นน้ำอาสาสมัครเวิร์กช็อป “เด็กสร้างหนัง หนังสร้างเด็ก ภาพถ่าย”บอกว่า ส่วนตัวผมอาสามาเพื่ออยากจะให้ แต่ผมก็ได้อะไรกลับไปเช่นกัน ไม่ได้หวังว่าจะได้ แต่มันคือการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เด็กๆ ก็เรียนรู้สิ่งที่ผมให้ และตัวเด็กก็เป็นผลสะท้อนกลับมาหาตัวผม เพื่อพัฒนาตัวต่อไปในการสอนเด็กๆ รุ่นต่อไป เด็กๆมาจากต่างที่ ต่างศาสนาแต่เค้าก็อยู่ร่วมกันได้ เพราะมีการพัฒนาในการอยู่ร่วมกัน ขัดเกลาจิตใจ มันจะทำให้เขาอยู่ด้วยกันได้
“ในทรรศนะของผม ปัญหามีมากมาย แต่ประเด็นหลักๆเหมือนคนเราไม่รู้จักความดี ไม่รู้จักความงดงาม เหมือนการล้อมวงกินข้าวอย่างในอดีต ไม่ค่อยมีแล้ว ทำให้เด็กคุยกับพ่อแม่น้อยลง เด็กอาจรู้ว่าการทำดีทำอย่างไร แต่บางทีสภาพจิตใจ หรือวุฒิภาวะ ทำให้เขาสับสน เช่น ถ้าคิดว่าทำดีแล้วคนไม่เห็น ไม่ทำดีกว่า เพราะขาดคนแนะนำ อย่างสื่อในปัจจุบันก็เข้าใจว่าต้องทำกำไร พอมันเข้าถึงเด็ก เขาก็อาจคิดว่าสิ่งนั้นมันถูกต้อง สุดท้ายมันไม่ใช่ เราต้องทำให้สื่อกับธรรมะมันจอยกันได้ ในส่วนที่เหมาะสมน่าจะทำให้เกิดการเปลี่ยนอะไรบางอย่างได้”
เหล่านี้เป็นเพียงบางส่วนที่เป็นความในใจในการทำงานร่วมกัน โดยมีธรรมเป็นหลักในใจ แล้วชัยชนะแห่งความสำเร็จก็มาถึงพวกเขา ที่ได้เรียนรู้การอยู่ร่วมแบบธรรมชาติ การรู้รักร่วมมือสามัคคี จนก่อเกิดพลังสร้างสรรค์ผลงาน และความภาคภูมิใจในตัวตนที่ได้ทำ ได้คิด และได้เพื่อนอย่างสันติสุข เพราะร่วมแก้ปัญหา แก้ไข และเปิดใจรับสิ่งต่างๆ รอบตัวอย่างมีสติพร้อมกัน
ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน