พระราชกรณียกิจด้านการกีฬา

พระราชกรณียกิจด้านการกีฬา

 

 

พระราชกรณียกิจด้านการกีฬา

 

          เรือใบเป็นกีฬาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเป็นพิเศษ พระองค์ทรงเป็นตัวแทนของประเทศไทยลงแข่งเรือใบในกีฬาแหลมทองครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 9 – 16 ธันวาคม พ.ศ. 2510 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ โดยทรงเข้าค่ายฝึกซ้อมตามโปรแกรมการฝึกซ้อม และทรงได้รับเบี้ยเลี้ยงในฐานะนักกีฬา เช่นเดียวกับนักกีฬาคนอื่นๆ ในที่สุด ด้วยพระปรีชาสามารถ พระองค์ทรงชนะเลิศเหรียญทอง และทรงได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลเหรียญทอง จากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2510 ท่ามกลางความปลื้มปีติของพสกนิกรชาวไทยทั้งประเทศ และเป็นที่ประจักษ์แก่ชนทั่วโลก ทำให้พระอัจฉริยภาพทางกีฬาเรือใบของพระองค์ที่ยอมรับกันทั่วโลก พระองค์ยังได้ทรงออกแบบและประดิษฐ์เรือใบยามว่างออกมาหลายรุ่น พระองค์พระราชทานนามเรือใบประเภทม็อธ (Moth) ที่ทรงสร้างขึ้นว่า เรือใบมด เรือใบซูเปอร์มด และ เรือใบไมโครมด ถึงแม้ว่าเรือใบลำสุดท้ายที่พระองค์ทรงต่อคือ เรือโม้ค (Moke) เมื่อ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2510 เรือใบซูเปอร์มดยังถูกใช้แข่งขันในระดับนานาชาติที่จัดในประเทศไทยหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายคือเมื่อ พ.ศ. 2528 ในกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 13

 

          นอกเหนือจากกีฬาเรือใบแล้ว ยังทรงเล่นกีฬาประเภทอื่นๆ เช่น แบตมินตัน เทนนิส ยิงปืน เป็นต้น

 

          ในด้านการกีฬา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนพระทัยและทรงเล็งเห็นว่ากีฬาเป็นสิ่งจำเป็น และเป็นส่วนสำคัญยิ่งในการพัฒนาบุคคลและประเทศชาติ โดยได้พระราชทานพระบรมราโชวาทเนื่องในวันกีฬาแห่งชาติว่า

 

          “ในหลักการการกีฬาเป็นสิ่งที่มีจุดประสงค์พื้นฐานเพื่อที่จะส่งเสริมให้ร่างกายแข็งแรง และสามารถที่จะแสดงฝีมือในเชิงกีฬาเพื่อความสามัคคี และเพื่อให้คุณภาพของมนุษย์ดีขึ้นมาเวลานี้การกีฬาก็นับว่ามีความสำคัญในทางอื่นด้วย คือในทางสังคมทำให้คนในประเทศชาติได้หันมาปฏิบัติสิ่งที่เป็นประโยชน์ในทางสุขภาพของร่างกายและของจิตใจ ทำให้สามารถที่จะอยู่เป็นสังคมอย่างอยู่เย็นเป็นสุข ทั้งเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความเจริญของบ้านเมือง และโดยเฉพาะในการกีฬาระหว่างประเทศก็ได้เพิ่มความสำคัญกับมนุษย์อื่น ซึ่งอยู่ในประเทศอื่นฉะนั้นกีฬามีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับชีวิตของแต่ละคน และชีวิตของบ้านเมือง ถ้าปฏิบัติกีฬาอย่างถูกต้องหมายถึงว่าอย่างมีประสิทธิภาพ มีความสามารถก็จะได้นำชื่อเสียงแก่ตนและแก่ประเทศชาติ ถ้าปฏิบัติกีฬาด้วยความเรียบร้อย ด้วยความสุขภาพก็ทำให้มีชื่อเสียงเหมือนกัน และจะส่งเสริมความสามัคคีในประเทศชาติ”

 

(พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน วันที่ 28 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2531)

 

          จากประวัติศาสตร์อันยาวนานที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ทรงสนพระทัยและโปรดทรงกีฬาตั้งแต่พระเยาว์ กีฬาที่ทรงโปรดนั้นเป็นกีฬาที่มิใช่ใช้พละกำลังอย่างเดียว แต่จะเป็นกีฬาที่ต้องอาศัยเทคนิคไหวพริบ ความละเอียดอ่อนมาประยุกต์กับความรู้ ความสามารถรอบตัวเข้าช่วย และทรงสนพระทัยหลายประเภทขณะที่ทรงศึกษาอยู่ต่างประเทศทรงโปรดสกีน้ำ ทรงเรือใบ เรือกรรเชียง ทรงพระแสงปืน ทรงแบดมินตัน การแข่งขันรถเล็ก กอล์ฟเล็ก รวมทั้งการออกกำลังพระวรกายด้วยการวิ่งเหยาะหรือจ๊อกกิ้ง การเดินเร็ว การทรงจักรยาน การทรงกีฬาทุกครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติอย่างถูกต้องตามหลักการทางวิทยาศาสตร์การกีฬา ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระประสงค์ที่จะให้ “วิทยาศาสตร์การกีฬา” ซึ่งมีคุณประโยชน์ต่อชีวิตและสุขภาพของประชาชนชาวไทยเป็นที่แพร่หลาย

 

          นอกจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงสนพระทัยกีฬาแข่งขันแล้ว ยังสนพระทัยการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ และได้ทรงปฏิบัติด้วยพระองค์เองอย่างถูกหลักวิชาทางวิทยาศาสตร์การกีฬาทุกขั้นตอน อาทิ มีการจดบันทึกพระชีพจร ความดันพระโลหิตทั้งก่อน และหลังทรงออกกำลังพระวรกายอย่างสม่ำเสมอ และทรงศึกษาตลอดเวลาว่าควรจะเริ่มต้นออกกำลังพระวรกายแล้วอย่างไรโดยทรงเช่นนี้เป็นกิจวัตร เป็นแบบฉบับของนักกีฬาที่ดี ถึงแม้ในวโรกาสเสด็จแปรพระราชฐานไปในที่ต่างๆ ในเวลากลางวัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะอุทิศเวลาเพื่อราษฎรของพระองค์กว่าจะเสร็จสิ้นพระราชการกิจแม้จะเป็นเวลามืดค่ำ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็จะทรงออกกำลังพระวรกายด้วยการพระราชดำเนินเร็วเป็นระยะทางนับเป็น 100 เมตร เพื่อให้พระวรกายของพระองค์แข็งแรงพร้อมที่จะเสด็จไปในที่ต่างๆ เพื่อเยี่ยมเยียนราษฎรของพระองค์ได้เสมอความเข้าพระทัยอย่างลึกซึ้งในคุณสมบัติของการกีฬา และการออกกำลังกายได้เป็นที่ประจักษ์ในหลายสถานอยู่เสมอที่ถือเป็นตัวอย่างหนึ่งได้คือ พระราชดำรัสที่ทรงพระราชทานแก่ข้าราชบริพาร หลังการออกกำลังพระวรกายประจำวันเพื่อฟื้นฟูพระวรกาย หลังจากทรงพระประชวรในปี พ.ศ. 2525 ความว่า

 

          “การออกกำลังกายนั้น ถ้าทำน้อยไปร่างกายและจิตใจก็จะเฉา ถ้าทำมากเกินไปร่างกายและจิตใจก็ช้ำ”

 

          ซึ่งตรงกับหลักการอันเป็นหัวใจของวิทยาศาสตร์การกีฬาโดยแท้

 

 

 

 

 

ที่มา : กองการกีฬา กรมสวัสดิการทหารบก

 

 

Update : 01-12-52

 

อัพเดทเนื้อหาโดย : นพรัตน์  นริสรานนท์

Shares:
QR Code :
QR Code