พบเด็กจมน้ำเสียชีวิต เฉลี่ยวันละเกือบ 4 คน

/data/content/23475/cms/adempqrsw348.jpg

        สธ.เตือนผู้ปกครองระวังเด็กจมน้ำเสียชีวิต ช่วงปิดเทอม เผยพบเด็กจมน้ำเสียชีวิตเฉลี่ยวันละเกือบ 4 คน

        สธ.เตือนผู้ปกครองระวังเด็กจมน้ำเสียชีวิต ช่วงปิดเทอม ข้อมูลในรอบ 11 ปี ตั้งแต่ 2546-2556 พบเด็กจมน้ำเสียชีวิตเฉลี่ยวันละเกือบ 4 คน เผยผลการประเมินการว่ายน้ำเด็กไทยเอาชีวิตรอดได้เพียงร้อยละ 4 เท่านั้นเมื่อวันที่ 17 มี.ค. นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในช่วงปิดเทอม เดือนมีนาคม-พฤษภาคมเป็นช่วงอากาศร้อน เด็กๆ มักนิยมไปเล่นน้ำเพื่อคลายร้อน ทำให้พบสถิติการจมน้ำมากที่สุดข้อมูลในรอบ 11 ปี ตั้งแต่ 2546-2556 พบเด็กอายุต่ำกว่า 15ปี จมน้ำเสียชีวิตแล้วถึง 15,495 คน เฉลี่ยปีละ 1,291 คน หรือวันละเกือบ 4 คน

        เฉพาะในช่วง 3 เดือนอันตรายซึ่งเป็นช่วงปิดเทอมคือ มีนาคม – พฤษภาคม มีเด็กเสียชีวิตจากตกน้ำ จมน้ำสูงถึง 442 คนโดยกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี จะมีสัดส่วนการเสียชีวิตจากการตกน้ำ จมน้ำสูงถึงร้อยละ 30 แหล่งน้ำที่พบบ่อยประมาณร้อยละ 50 คือ แหล่งน้ำธรรมชาติ หนองน้ำ คลองชลประทานอ่างเก็บน้ำ รองลงมาคือสระว่ายน้ำ พบร้อยละ 5 และอ่างอาบน้ำร้อยละ 3 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นภาคที่มีจำนวนการจมน้ำสูงสุด รองลงมาเป็นภาคกลาง ภาคใต้ และภาคเหนือ

         ทั้งนี้ปัจจัยเสี่ยงต่อการจมน้ำตายในเด็กและผู้ใหญ่นั้นมีความแตกต่างกัน โดยในกลุ่มเด็กเล็กมีความสัมพันธ์กับการดูแลของผู้ดูแลเด็กส่วนในเด็กโตมีความสัมพันธ์กับการเล่นน้ำที่ผ่านมาประชาชนไทยประมาณร้อยละ 42 ยังมองเรื่องการตกน้ำ จมน้ำเสียชีวิตว่าเป็นเรื่องของเคราะห์กรรม ซึ่งข้อเท็จจริงนั้น การตกน้ำ จมน้ำเป็นเรื่องที่ช่วยกันป้องกันได้ ดังนั้น ผู้ปกครอง ผู้ดูแลเด็ก อย่าปล่อยเด็กเล่นน้ำตามลำพังแม้ว่าจะเป็นแหล่งน้ำใกล้บ้านหรือแหล่งน้ำที่คุ้นเคยก็ตาม ควรให้ความรู้เด็ก รวมทั้งสร้างรั้วล้อมรอบแหล่งน้ำและติดป้ายคำเตือน รวมทั้งการจัดให้มีอุปกรณ์ช่วยคนตกน้ำไว้บริเวณแหล่งน้ำส่วนในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ผู้ปกครองต้องอย่าปล่อยให้เด็กอยู่ลำพังแม้เสี้ยวนาทีต้องมองเห็น เข้าถึงและคว้าถึงง่ายเพราะเด็กวัยนี้ จมน้ำง่ายเนื่องจากเด็กเล็กยังมีการทรงตัวไม่ดียังไม่มีความพร้อมในการป้องกันตนเอง จึงจมน้ำได้ง่าย แม้แหล่งน้ำมีน้ำเพียงเล็กน้อยหรือแม้แต่ในถังหรือกะละมังที่มีน้ำเพียง 1-2 นิ้วก็ตาม ได้กำชับให้สำนักงานสาธารณสุขทุกจังหวัด ประชาสัมพันธ์ย้ำเตือนผู้ปกครองและเตรียมทีมแพทย์ให้การช่วยเหลือ หากพบเห็นผู้จมน้ำสามารถโทรแจ้งขอความช่วยเหลือที่สายด่วน 1669 ฟรีตลอด 24 ชั่วโมง

          ด้านนายแพทย์โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในปี 2556 สำนักโรคไม่ติดต่อกรมควบคุมโรค ร่วมกับสถาบันวิจัยสังคมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยประเมินผลการว่ายน้ำเป็นของเด็กไทย อายุ 5-14 ปี ซึ่งมีกว่า8 ล้านคน พบว่า เด็กว่ายน้ำเป็นเพียงร้อยละ 24หรือประมาณ2ล้านคน แต่สามารถว่ายน้ำเพื่อเอาชีวิตรอดได้เพียงร้อยละ 4หรือ 367,704คน โดยเด็กที่เรียนหลักสูตรว่ายน้ำเพื่อเอาชีวิตรอดจะมีทักษะการเอาชีวิตรอดในน้ำสูงกว่าเด็กที่ไม่ได้เรียนถึง21 เท่าตัวและมีทักษะการช่วยเหลือคนตกน้ำ/จมน้ำ สามารถแก้ไขปัญหาและการเอาชีวิตรอดในสถานการณ์ฉุกเฉินได้ดีกว่าเด็กที่ไม่ได้เรียนถึง3 เท่าตัวดังนั้นการเรียนว่ายน้ำเพื่อเอาชีวิตรอดเป็นมาตรการหนึ่งที่สามารถช่วยป้องกันการจมน้ำได้ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยเรียน

          สาเหตุที่ทำให้มีผู้จมน้ำเสียชีวิตมากส่วนหนึ่งเกิดมาจากการช่วยเหลือผิดวิธี ซึ่งมี 2 ช่วงคือ ขณะอยู่ในน้ำซึ่งเด็กๆ จะเล่นน้ำเป็นกลุ่มพอมีเพื่อนจมน้ำก็จะลงน้ำไปช่วยกันเองโดยไม่มีความรู้ในการช่วยที่ถูกต้องและอีกช่วงคือการช่วยเด็กหลังนำขึ้นมาจากน้ำแล้วโดยประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 93 ยังเข้าใจผิด คิดว่าการอุ้มพาดบ่าและกระแทกเอาน้ำออกเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ซึ่งในความจริงเป็นวิธีที่ผิด เนื่องจากจะทำให้ผู้จมน้ำขาดอากาศหายใจนานขึ้น ควรรีบเป่าปากและนวดหัวใจเพื่อให้หายใจได้เร็วที่สุดถ้าพบว่าหายใจเองได้หรือหายใจเองได้แล้วให้จับผู้จมน้ำให้นอนตะแคง ให้ศีรษะหงายไปข้างหลัง เพื่อให้น้ำไหลออกทางปากและใช้ผ้าห่มคลุมตัวผู้ป่วย เพื่อให้ความอบอุ่น งดน้ำและอาหารและรีบส่งผู้ที่จมน้ำทุกราย ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด

          สำหรับเด็กที่ต้องเดินทางหรือทำกิจกรรมทางน้ำรวมทั้งผู้ที่ว่ายน้ำไม่เป็นแต่ต้องการลงเล่นน้ำคลายร้อน ควรสวมเสื้อชูชีพทุกครั้ง ทั้งนี้ เมื่อพบคนตกน้ำ ต้องไม่กระโดดลงไปช่วยแม้จะว่ายน้ำเป็นเพราะอาจจะถูกกอดรัดและจมน้ำเสียชีวิตพร้อมกันได้ วิธีการช่วยให้ยึดหลัก 3 อย่างคือ 1. ตะโกน คือการเรียกให้คนมาช่วย และโทรแจ้งทีมแพทย์กู้ชีพ 1669 2. โยนอุปกรณ์ที่อยู่ใกล้ตัวเพื่อช่วยคนตกน้ำเกาะจับพยุงตัว เช่น เชือก ถังแกลลอนพลาสติกเปล่า ขวดน้ำพลาสติกเปล่า หรือวัสดุที่ลอยน้ำได้ โดยโยนครั้งละหลายๆ ชิ้น 3. ยื่นอุปกรณ์ที่อยู่ใกล้ตัวให้คนตกน้ำจับ เช่น ไม้ ผ้าขาวม้า ให้คนตกน้ำจับและดึงขึ้นมาจากน้ำ




          ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Shares:
QR Code :
QR Code