พบยีนกลายพันธุ์ต้นตอโรคจิตเภท

เผยอาจนำไปสู่การค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของโรคที่ค้นหากันมานานและการรักษาใหม่ ๆ


 

สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่าการวิจัยอันล่าสุดจากประเทศสหรัฐอเมริกาได้เผยให้เห็นว่ามียีนกลายพันธุ์กลุ่มหนึ่งที่น่าจะทำให้คนที่มียีนพวกพวกนี้อยู่มีความเสี่ยงในการป่วยเป็นโรคจิตเภทมากกว่าคนทั่วไปที่ไม่ยีนกลุ่มดังกล่าวนี้ในตัว

 

ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญสาขาโรคทางจิตและพันธุกรรมหลายคนระบุว่าถึงแม้ว่าการค้นพบครั้งนี้จะยังไม่อาจสรุปได้เลยว่าเป็นค้นพบสาเหตุที่แท้จริงของโรคจิตเภทหรือโรคจิตชนิดรุนแรงแล้วแต่ผลการศึกษาที่ได้ล่าสุดนี้นับเป็นการค้นพบครั้งสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงกันระหว่างยีนและโรคจิตเวช โดยในการวิจัยครั้งนี้ทีมนักวิจัยได้ใช้เทคโนโลยีสแกนลักษณะพันธุกรรมที่มีความทันสมัยมาก

 

โดยนักวิจัยได้ทำการค้นหายีนชนิดที่มักพบเหมือน ๆ กันในคนไข้โรคจิตเภทแต่ไม่พบในคนปกติซึ่งก็พบว่ามียีนกลายพันธุ์อยู่จำนวนหนึ่งซึ่งเมื่อทำงานร่วมกันแล้วทำให้คนมีความเสี่ยงในการป่วยเป็นโรคจิตเภทมากกว่าปกติ

 

ผลการวิจัยนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร ไซแอนซ์เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งนี้นักวิจัยระบุว่ากลุ่มยีนกลายพันธุ์ที่พบนี้เป็นยีนที่พบได้ค่อนข้างจะยากมาก ๆ และเป็นยีนที่มีการกลายพันธุ์ในลักษณะที่ไม่เคยทราบกันมาก่อนเลย ซึ่งในคนที่ป่วยเป็นเป็นโรคจิตเภทนั้นจะพบว่ามียีนกลุ่มนี้มากกว่าคนปกติประมาณ 3 ถึง 4 เท่าตัว

 

ผู้เชี่ยวชาญได้ให้ความเห็นไว้ด้วยว่าผลการวิจัยนี้ช่วยชี้ทางให้นักวิทยาศาสตร์ศึกษาและพัฒนาหาการรักษาโรคจิตเภทที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม ทั้งนี้นับเป็นเวลาหลายชั่วอายุคนมาแล้วที่นักวิจัยได้พยายามค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของโรคจิตเภทซึ่งเป็นโรคจิตที่สร้างผลกระทบต่อคนประมาณ 1 % ของประชากรทั้งหมด เพื่อพัฒนาการรักษาสำหรับโรค ๆ นี้

 

และสำหรับผลการวิจัยอันใหม่นี้นักวิจัยยอมรับว่าการศึกษาลักษณะพันธุกรรมของโรคจิตเภทนั้นถือเป็นเรื่องที่ซับซ้อนเอาการอยู่เหมือนกันและผลการศึกษาเพียงอันเดียวยังไม่อาจทำให้เข้าใจโรคจิตชนิดนี้ได้ทั้งหมดแต่เชื่อแน่ว่าหากได้มีการทำการวิจัยแบบนี้เพิ่มเติมต่อไปอีกวงการวิจัยทางด้านโรคจิตเวชจะต้องเปลี่ยนไปในทางที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างแน่นอน

 

การวิจัยนี้ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางความคิดหลักเกี่ยวกับเรื่องลักษณะพันธุกรรมและโรคจิตเภทไปเลยที่เดียว นพ.แมทธิว สเตท ผู้อำนวยการ โครงการประสาทพันธุกรรมศาสตร์ ของโรงเรียนแพทย์แห่ง มหาวิทยาลัย เยลในสหรัฐฯกล่าว

 

ทั้งนี้นพ.สเตทไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำวิจัยนี้ และเขาแสดงความเห็นด้วยอย่างยิ่งกับผลการวิจัยซึ่งทำโดยสถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติของสหรัฐฯ ร่วมกับมหาวิทยาลัยแห่งรัฐวอชิงตัน ที่ซีแอตเติล และห้องปฏิบัติการโคล์ดสปริง

 

ที่มา: นักข่าวต่างประเทศ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสุขภาพ

ภาพประกอบ: www.thaihealth.or.th

 

update 31-03-51

Shares:
QR Code :
QR Code