ฝึก "เด็กเล็ก" เอาตัวรอดจากการจมน้ำ

ที่มา : MGR Online 


ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต


ฝึก


ร.ร.บ้านแก่งหว้าแก่งไฮ ฝึก "เด็กเล็ก" เอาตัวรอดจากการจมน้ำ


“ช่วยด้วย ! ช่วยด้วย ! มีคนจมน้ำ … ไม่ต้องกลัว เรามาช่วยแล้ว ลอยตัว เตะขาไว้ จับๆๆ” เสียงร้องตะโกนของเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านแก่งหว้าแก่งไฮ ต.หนองกะท้าว อ.นครไทย จ.พิษณุโลก ขณะที่เพื่อนอีกกลุ่มหนึ่งรอคอยการช่วยเหลืออยู่ในอ่างเก็บน้ำแก่งไฮ


ฝึก


เด็กๆ ทั้ง 25 คนนี้กำลังฝึกทักษะความปลอดภัยทางน้ำ โดยหลังจากที่ตะโกนให้คนมาช่วยแล้ว ก็ได้โยนขวดพลาสติกที่มีน้ำอยู่เล็กน้อยลงไปให้เพื่อนคู่ฝึกซ้อมที่อยู่ในน้ำได้ใช้พยุงตัว และยื่นไม้ออกไปให้เพื่อนจับ เพื่อดึงขึ้นมาจากน้ำในที่สุด โดยโรงเรียนบ้านแก่งหว้าแก่งไฮนี้จัดว่าเป็นต้นแบบที่ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับความเสี่ยงต่อการจมน้ำของเด็กนักเรียน แม้ว่าทางโรงเรียนไม่มีสระว่ายน้ำ แต่ได้ประสานความร่วมมือกับชุมชนและผู้ปกครอง ในการใช้แหล่งน้ำธรรมชาติใกล้โรงเรียนที่มีการจัดการเรื่องความปลอดภัย สำหรับสอนและฝึกทักษะชีวิต เพื่อให้เด็กๆ รอดปลอดภัยจากการจมน้ำ โดยได้รับทุนสนับสนุนภายใต้ความร่วมมือของศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก โรงพยาบาลรามาธิบดีและสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)


ฝึก


น.ส.ชฎาพร สุขสิริวรรณ นักวิจัยจากศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก กล่าวว่า จากรายงานของศูนย์ฯพบว่า เด็กวัยเรียนระดับประถมอายุ 5-9 ปี มีอัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ 12.6 คน ต่อ 100,000 คน การเสียชีวิตช่วง 11 ปี ตั้งแต่ 2546-2556 ได้ ลดลงจาก 646 คนในปี 2545 เหลือ 533 คนในปี 2556 หรือลดลงเพียง12% เห็นได้ว่าแนวโน้มการเสียชีวิตลดลงอย่างเชื่องช้า สาเหตุของการเสียชีวิตส่วนใหญ่มาจากความไม่รู้ต่อความเสี่ยงของแหล่งน้ำ และไม่มีทักษะช่วยตนเองและผู้อื่นเมื่อตกน้ำ จึงเป็นที่มาของการสนับสนุนให้เด็กกลุ่มวัย 5-9 ปี หรือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-2 ของโรงเรียนทั่วประเทศที่เสนอโครงการเข้ามา ได้มีโอกาสฝึกทักษะความปลอดภัยทางน้ำ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากการจมน้ำในเด็กกลุ่มนี้ได้เร็วที่สุด โดยเน้นย้ำให้เด็กได้เรียนรู้ “ทักษะชีวิต” 5 ประการ คือ ต้องรู้จักสิ่งแวดล้อมและพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการจมน้ำ, ฝึกและสามารถลอยตัวในน้ำได้นานอย่างน้อย 3 นาที เพื่อรอการช่วยเหลือ, ฝึกให้สามารถเคลื่อนตัวในน้ำ เพื่อเข้าเกาะขอบฝั่งได้อย่างน้อย 15 เมตร, ฝึกให้ช่วยเหลือคนตกน้ำด้วยการ “ตะโกน-โยน-ยื่น” รวมทั้งรู้จักเตรียมอุปกรณ์พร้อมในการช่วยเหลือ และฝึกให้รู้ความสำคัญของชูชีพ สร้างนิสัยใส่ชูชีพก่อนทุกครั้งเมื่อมีกิจกรรมหรือเดินทางทางน้ำ


นายสุวัฒน์ สายยืด ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านแก่งหว้าแก่งไฮ กล่าวว่า “โรงเรียนให้ความสำคัญในการป้องกันอุบัติเหตุ และปลูกฝังจิตสำนึกเกี่ยวกับความปลอดภัยในทุกๆ ด้าน จึงขอรับการสนับสนุนการฝึกทักษะความปลอดภัยทางน้ำสำหรับเด็กเล็ก จาก ร.พ.รามาธิบดี โดยก่อนหน้านี้ได้เข้าร่วมโครงการ “ว่ายน้ำเพื่อชีวิต” ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำหรับชั้น ป.4-ป.5 แม้ว่าทางโรงเรียนไม่มีสระว่ายน้ำ แต่ก็ได้รับความร่วมมือจากผู้ปกครอง ชุมชน ผู้ใหญ่บ้าน และเจ้าของแพแก่งไฮในการนำเด็กไปฝึกที่อ่างเก็บน้ำ


ฝึก


โดยช่วงแรกต้องทำความเข้าใจกับผู้ปกครองถึงความสำคัญในเรื่องนี้ และสร้างความมั่นใจว่ามีการเรียนการสอนและฝึกซ้อมอย่างปลอดภัย โดยเจ้าของแพมาช่วยดูแลอย่างใกล้ชิด มีเสื้อชูชีพพร้อมอุปกรณ์ให้เด็กทุกคน นอกจากนี้ยังจัดกิจกรรมนอกสถานที่ พาเด็กไปยังที่ต่างๆ ทั้งแหล่งน้ำตามธรรมชาติ สระว่ายน้ำของเอกชนในอำเภอ รวมถึงสวนสยามที่กรุงเทพฯ ด้วย เพื่อให้เรียนรู้ว่าสถานที่แบบไหนมีโอกาสเกิดอันตรายอย่างไรได้บ้าง ต้องระวังเรื่องอะไร สอนอย่างมีเหตุผล และให้มีประสบการณ์ตรง ส่วนในโรงเรียนตรงไหนที่เป็นจุดเสี่ยงก็ติดป้ายเตือนไว้ ครูให้ความรู้สอดแทรกในวิชาต่างๆ และมีระบบเฝ้าระวัง ให้ครูเวรคอยตรวจตราดูแล เราทำอย่างเต็มที่เท่าที่มีศักยภาพ อยากให้เด็กมีทักษะในการดูแลตัวเอง”


ด้าน นางสาวจีรวรรณ์ ปันผา ครูผู้สอนและฝึกทักษะชีวิต ให้รายละเอียดว่า “โครงการนี้สอนทั้งทฤษฎีและปฏิบัติราว 3 เดือน โดยมีครูประจำชั้นกับครูพี่เลี้ยงร่วมด้วย ครู 1 คน ดูแลเด็ก 4 คน สำหรับเด็กที่มีพัฒนาการช้าก็จะมีวิทยากรภายนอกกับผู้ปกครองและผู้นำชุมชนมาช่วย เริ่มจากให้เด็กมีความรู้เกี่ยวกับสถานที่ สิ่งแวดล้อม จุดเสี่ยง และพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ มีการสาธิตและแสดงบทบาทสมมุติ โดยครูสอนอย่างใกล้ชิดด้วยความเข้าใจในทัศนคติและธรรมชาติของเด็กทุกคน ให้เด็กได้สะท้อนความคิดความรู้สึก เพื่อหาเทคนิคที่จะช่วยให้สนุกกับการเรียนรู้ และไม่ตื่นกลัวการลงน้ำ”


ตอกย้ำความสำเร็จของโครงการฝึกทักษะความปลอดภัยทางน้ำด้วยเสียงใสๆ ของ น้องพิ้งกี้ – ด.ญ. ณิศรา โถงโฉม ว่า “ลงน้ำทุกครั้งต้องใส่ชูชีพ ต้องเลือกขนาดที่พอดีกับเราด้วย ถ้าเห็นคนจมน้ำ สิ่งแรกเลยต้องตะโกนดังๆ ให้คนมาช่วยค่ะ ถ้าระยะใกล้ก็โยนแกลลอนหรือขวดน้ำ แล้วยื่นไม้ให้จับ แต่ถ้าระยะไกลคุณครูสอนให้โยนเชือกให้เขาค่ะ และห้ามกระโดดลงไปช่วยเด็ดขาด”


ร.ร.บ้านแก่งหว้าแก่งไฮ เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่น่าชื่นชมในความสำเร็จที่เกิดจากความร่วมมือของทุกฝ่าย แม้จะไม่มีสระว่ายน้ำในโรงเรียน แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการสร้างทักษะความปลอดภัยทางน้ำให้เป็นภูมิคุ้มกันลูกหลานให้รอดชีวิตจากการจมน้ำ และสามารถช่วยผู้อื่นได้

Shares:
QR Code :
QR Code