ผู้ใหญ่ข้างเด็กเปิดใจ หยุดนักเรียน(นักเลง)ตีกัน

ผู้ใหญ่ข้างเด็กเปิดใจ หยุดนักเรียน(นักเลง)ตีกัน

ย้อนกลับไป 10 ปีที่แล้ว ต.ป่าคลอก ประกอบด้วย 9 หมู่บ้าน วัยรุ่นแต่ละหมู่บ้านทะเลาะกันเป็นประจำ กลุ่มวัยรุ่นมีเรื่องทะเลาะวิวาทเกือบทุกวัน บางกรณีต้องพึ่งกฎหมายเข้าช่วยเหลือ แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะในวงจรนี้จะต้องแก้แค้นกันไปแก้แค้นกันมาไม่จบสิ้น ผู้ใหญ่ในชุมชนมองเห็นปัญหาจึงทำโครงการ “มัสยิดสัมพันธ์” ดึงเยาวชนที่มีความประพฤติดีเข้ากลุ่ม “มัสยิดสัมพันธ์” เพื่อให้กลุ่มเยาวชนในแต่ละหมู่บ้านรักใคร่สามัคคีกัน และท้ายสุดนำมาซึ่งความเข้มแข็งของชุมชน

ผู้ใหญ่ข้างเด็กเปิดใจ หยุดนักเรียน(นักเลง)ตีกัน“วัยรุ่นตีกันเกือบทุกวัน บางรายบางคู่เลือดตกยางออก ถึงกับหามเข้าโรงพยาบาล โอ๊ย…โหดมากครับ คนในชุมชนก็พลอยเดือดร้อนไปด้วย ตกกลางคืนมาก็ได้ยินเสียงทะเลาะวิวาท ไม่เว้นแม้กระทั่งกลางวันไม่รู้ว่าใครชื่ออะไร รู้แค่ว่าอยู่ต่างหมู่บ้านก็ตีกันแล้ว และอีกอย่างหนึ่งคือยาเสพติด โดยเฉพาะใบกระท่อมเข้ามาในชุมชน เด็กๆ ก็ยิ่งเหลวไหล ห่างไกลมัสยิด” เจษฎ์ ดุจพยัคฆ์ หรือเจษฎ์ รองประธานสภาเยาวชนตำบลป่าคลอก อ.ถลาง จ.ภูเก็ต

เจษฎ์ บอกว่า กลุ่มของพวกเขาจะเข้าหากลุ่มวัยรุ่นที่ก่อเรื่องทะเลาะวิวาท สืบหาต้นตอของปัญหา ให้ความจริงใจ จนกระทั่งได้รับความไว้วางใจเปิดใจคุยว่าปัญหาเกิดจาก การห่างไกลศาสนา (อิสลาม) ก็เลยเกิดช่องว่างในการทำบาปง่ายและมากขึ้นอีกด้วย จากนั้นจึงชักชวนเข้าค่ายจริยธรรม ซึ่งก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

ผู้ใหญ่ข้างเด็กเปิดใจ หยุดนักเรียน(นักเลง)ตีกันกิจกรรมที่ทำก็จะมีกิจกรรมนันทนาการ ปลูกป่าชายเลน ทัศนศึกษานอกพื้นที่ การแสดงลิเกฮูลู หรือแม้กระทั่งฝึกให้เป็นไกด์นำเที่ยวในชุมชน ฯลฯ เพื่อปลูกฝั่งจิตสำนึกรักบ้านเกิดและแนวทางการดำเนินชีวิตตามหลักศาสนาอิสลาม ในที่สุดปัญหาการทะเลาะวิวาทก็ค่อยๆ หมดไปจากชุมชน ถึงวันนี้พวกเขาพูดได้เต็มปากเลยว่า “10 ปีแห่งการสร้างคน 10 ปีแห่งการสร้างค่าย”

เจษฎ์ เล่าว่า ต่อมาเมื่อปี 2547 จากกลุ่ม “มัสยิดสัมพันธ์” ได้เปลี่ยนมาเป็น “สภาเยาวชนตำบลป่าคลอก” โดยได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ปัจจุบันมีสมาชิกทั้งหมด 5,000 คน มีแกนนำ ทำงานกับสภาเยาวชนประมาณ 50 คน หากมีกิจกรรมใดๆ ที่ต้องการรวมสมาชิกทุกคนก็สามารถมาได้ แต่เขาไม่ได้หวังว่าทั้งหมด 5,000 คนจะต้องมารวมกัน และเป็นคนดีทุกคน เพราะเชื่อว่าการปลูกต้นมะพร้าว 100 ต้นจะให้เจริญเติบโตสวยงามหมดทุกต้นคงเป็นไปไม่ได้

ผู้ใหญ่ข้างเด็กเปิดใจ หยุดนักเรียน(นักเลง)ตีกัน“ผมว่าโดยลำพังเด็กอย่างพวกเราคงจะแก้ปัญหาเองไม่ได้ ถ้าไม่ได้ความช่วยเหลือ สนับสนุน ให้คำปรึกษาจากผู้ใหญ่ จนถึงวันนี้ปัญหาการทะเลาะวิวาทไม่มีในชุมชน ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้พวกเรามองหาและปลูกต้นกล้าที่พร้อมจะเป็นร่มเงาให้ต้นไม้เล็กๆ ต่อไป” แกนนำสภาเยาวชน กล่าว

พรรณธีรา บุญเนตร หรือพิมพ์ วัย 19 ปี หนึ่งในสมาชิก “สภาเยาวชนตำบลป่าคลอก” เล่าว่า เมื่อก่อนไม่มีอะไรทำ กลับถึงบ้านก็ทำงานบ้าน แล้วก็เล่นกับเพื่อน ค่อนข้างจะมีพฤติกรรมเหลวไหล แต่หลังจากมีสภาเยาวชน มีกิจกรรมที่ทำร่วมกับชุมชน เช่น เป็นไกด์นำเที่ยว ซึ่งการทำงานตรงนี้มีรายได้ไว้ซื้ออุปกรณ์การเรียน ซื้อเครื่องสำอางอีกด้วย และก็มีเหลือให้พ่อแม่บ้างเล็กน้อย แต่ที่สำคัญที่สุดคือ การได้รับพื้นที่และโอกาสให้แสดงศักยภาพและความคิดเห็น

อภินันท์ วงศ์นา หรือบังบ่าวอภินันท์ วงศ์นา หรือบังบ่าว วัย 42 ปี ผู้ประสานงานโครงการ ในฐานะพี่เลี้ยง “สภาเยาวชนตำบลป่าคลอก” เล่าว่า การแก้ไขปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น จำเป็นจะต้องทราบต้นต่อของปัญหาว่าเกิดจากอะไร และที่สำคัญที่สุดการทำงานใดจะต้องใช้ใจทำอย่างจริงจัง อย่างปัญหาของกลุ่มวัยรุ่นที่ชุมชนป่าคลอกทะเลาะวิวาท ในฐานะผู้ใหญ่ต้องอาสายื่นมือเข้าไปช่วย โดยให้คนอายุวัยเดียวกันเข้าไปพูดคุย เพราะเขาจะมีภาษาของเขา หากผู้ใหญ่เข้าไปเองเกรงว่าจะคุยไม่รู้เรื่อง ซ้ำยังเป็นปัญหาใหญ่โตขึ้นอีก

“ผู้ใหญ่ต้องเขาใจว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วแก้ไปทีละจุด และอย่าพึ่งใจร้อน เพราะการแก้ปัญหาไม่ใช่แค่วันสองวันได้ ต้องใช้เวลา อย่างสภาของเรากว่าจะมาถึงวันนี้ได้ต้องใช้เวลาถึง 10 ปี ถามว่าวันนี้พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน อ้ายบ่าวภูมิใจนะที่สิ่งที่ทำอยู่ไม่สูญเปล่า เด็กๆ จากเมื่อก่อนไม่สนใจการเรียน ไปทำงานโรงแรม ประมง รับจ้างพายเรือ แต่ตอนนี้เริ่มอยากเรียนมากขึ้น จำนวนนักเรียนที่เรียนก็เพิ่มขึ้น และที่สำคัญไม่มีเด็กตีกันอีกเลย” บังบ่าว กล่าวในที่สุด
 

เรื่อง: ขวัญเรียม แก้วสุวรรณ
ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

Shares:
QR Code :
QR Code