ผลวิจัยพบเด็กหูหนวกมีเซ็กซ์เร็ว
เสี่ยงโรคระบาดและเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร
เปิดผลวิจัยพบเด็กนักเรียนหูหนวกมีสุขภาวะย่ำแย่ เสี่ยงโรคระบาดและมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร เหตุเนื่องจากการสื่อสารด้วยภาษามือทำให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น ระบุล่ามภาษามือในโทรทัศน์ทำเร็วเกินไป และใช้คำยากๆ ทำให้การสื่อสารบกพร่อง
ดร.จิตประภา ศรีอ่อน อาจารย์ประจำวิทยาลัยราชสุดา มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะหัวหน้าโครงการวิจัยเรื่องการรับรู้ด้านสุขภาพของกลุ่มผู้พิการทางการได้ยิน เปิดเผยว่า จากการศึกษาวิจัยนักเรียนกลุ่มผู้พิการทางการได้ยินในโรงเรียนโสตศึกษา ยังมีปัญหาด้านสุขภาพค่อนข้างมาก ทั้งนี้ ในโรงเรียนไม่มีครูพยาบาลโดยตรง มีแต่ครูอนามัยที่มีวุฒิสาขาวิชาสุขศึกษา ทำให้ไม่สามารถดูแลเด็กเจ็บป่วยได้ ส่วนผู้เรียนมีปัญหาด้านการอ่านและการเขียนภาษาไทย ขณะเดียวกันครูผู้สอนไม่สามารถสื่อกับนักเรียนได้อย่างที่ต้องการ เพราะมีปัญหาด้านการสื่อสารด้วยภาษามือ
ดร.จิตประภากล่าวว่า ปัญหาด้านสุขภาพที่พบในทุกโรงเรียนโสตศึกษา คือเด็กเล็กที่อยู่ประจำไม่สามารถดูแลตัวเองด้านสุขภาพได้ ทำให้เกิดปัญหาด้านร่างกาย การแต่งกายสกปรก ทำให้เกิดโรคระบาด เช่น โรคตาแดง หัด หวัด เหา และหิด นอกจากนี้สุขภาพปากและฟันของเด็กก็ยังเป็นปัญหาใหญ่ เด็กจำนวนมากมีอาการฟันผุ
“นอกจากนี้ปัญหาเรื่องเพศของวัยรุ่นเป็นสิ่งที่พบได้บ่อย โดยมีแนวโน้มจะมีเพศสัมพันธ์เร็วขึ้นและจำนวนเพิ่มมากขึ้น เพราะการสื่อสารของผู้พิการทางหูจะต้องใกล้ชิดกันมาก เนื่องจากใช้ภาษามือ ทุกๆ ครั้งที่มีการสื่อสารจะต้องจ้องมองดวงตากัน ทำให้เด็กที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นเกิดอาการอ่อนไหวกับเพศตรงข้าม และนำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ในที่สุด” ดร.จิตประภาเผย
ส่วนการสื่อสารเพื่อให้เกิดสุขภาวะที่ดีในกลุ่มผู้พิการทางการได้ยินนั้น ดร.จิตประภา ผู้ทำวิจัยกรณีดังกล่าวบอกว่า ภาษามือที่ใช้สื่อสารนั้น เด็กผู้พิการทางการได้ยินไม่สามารถรับสารได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้การรับรู้ด้อยประสิทธิภาพลงไป อย่างเช่นเด็กคนหนึ่งไปโรงพยาบาล เพราะรู้ว่าไม่สบาย แต่ไม่สามารถบอกหมอได้ว่าเป็นอะไร เรื่องแบบนี้เกิดกับเด็กที่พิการทางหูแทบจะทุกคน ส่วนล่ามภาษามือในโทรทัศน์นั้น ในงานวิจัยระบุว่า ล่ามทำเร็วเกินไป ใช้ภาษาค่อนข้างยาก ผู้รับสารไม่สามารถรับสารได้ทั้งหมด
“สังคมควรจะตระหนักรู้ว่าการเป็นคนหูหนวกก็เป็นเช่นนั้นเอง ต้องเข้าใจพวกเขา แม้กระทั่งคนปกติดีก็ไม่สามารถให้ใครเป็นอย่างตัวเราได้ เราต้องมองเขาอย่างที่เขาเป็น และเราควรทำอะไรให้เขาอย่างที่เขาต้องการ” อาจารย์ประจำวิทยาลัยราชสุดา ม.มหิดล กล่าว
ทั้งนี้ โครงการวิจัยเรื่องการรับรู้ด้านสุขภาพของกลุ่มผู้พิการทางการได้ยิน ถือเป็นการบุกเบิกให้สังคมได้รู้ถึงสภาพความเป็นอยู่ด้านสุขภาพของผู้พิการ เพราะขณะนี้สังคมไทยยังไม่มีองค์ความรู้ที่เข้าถึงผู้พิการ ถ้าเปรียบให้ชัด ก็เหมือนกับเรากำลังจะเข้าถึงสุขภาพชาวเอสกิโม แต่เราไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเอสกิโม เช่นกันถ้าเราต้องการอยากจะให้ผู้พิการมีความรู้เรื่องสุขภาพ เราต้องเรียนรู้พวกเขาอย่างถ่องแท้.
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
update : 03-11-51