ปี่จุม พื้นบ้านล้านนา

ปี่จุม พื้นบ้านล้านนา

กลุ่มที่ 1 ดนตรีกาล ผ่านลำไผ่

ณ แหล่งเรียนรู้ดนตรีพื้นบ้านล้านนา ตำบลดอนแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ พ่อครูก๋วนดา เชียงตา กำลังนั่งรอผู้มาเยือน หลังจากพูดคุยให้ความรู้พ่อครู และลูกศิษย์ ก็เล่นปี่จุมในท่วงทำนองต่างๆ เช่น ละไม้ อื่อ พม่า และเงี้ยว เป็นการต้อนรับ

ปี่จุมเป็นเครื่องดนตรีที่พ่อครูมีความชำนาญ ใช้ประกอบการซอ หรือขับร้อง ปี่จุมมีอยู่หลายขนาด หลายชุดด้วยกัน ปี่จุมชุด 3 ปี่จุมชุด 5 โดยปี่จุมชุด 3 ประกอบด้วย ปี่กลาง ปี่ก้อย ปี่เล็ก และปี่จุมชุด 5 ได้เพิ่ม ปี่แม่ และปี่ตัดเข้ามาแต่ที่นิยมเล่นกันจะเป็นปี่จุมชุด 3

นอกจากการละเล่นดนตรีแล้ว พ่อครูยังประดิษฐ์ปี่ด้วยตัวเองโดยการทำปี่ต้องใช้ไม้ฮวกที่แกคัดเลือกลำไม้ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนพฤษภาคม เพราะไม้จะมีความแข็งแรง และไม่มีตัวมอดกัดทำลาย นำไม้ที่ได้มาตากไว้ที่ร่มให้แห้งสนิท จนสีไม้เสมอกันหลังจากนั้นตัดให้ได้ขนาด แล้วนำไปดัดด้วยวิธีการลนไฟที่มีอุณหภูมิเหมาะสม แล้วเจาะรูก่อนติดลิ้นปี่ที่ทำจากทองเหลือง

ก่อนจากกัน พ่อครูและลูกศิษย์เล่นเพลงอื่อ ซึ่งเป็นเพลงที่ใช้ในการอำลาให้ฟัง จากประสบการณ์กว่า 30 ปี พ่อครูแสดงให้เห็นถึงความรัก และความเสียสละ ที่เป็นกำลังสำคัญในการอนุรักษ์ดนตรีพื้นบ้านล้านนา

กลุ่มที่ 2 ปี่จุมจังหวะแห่งล้านนา

ปี่จุมเป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่าของล้านนา คำว่า “จุม” เป็นภาษาล้านนา หมายถึงการชุมนุม ดังนั้น ปี่จุม จึงหมายถึง การนำปี่หลายๆ เล่มมาเป่ารวมกัน โดยปี่จุมทำจากไม้รวกลำเดียว นำมาตัดให้มีขนาดสั้น ยาว เรียงจากขนาดเล็ก (ปลายไม้) ไปหาใหญ่ (โคนของลำไม้) สร้างระดับเสียงที่แตกต่างกัน ปี่ขนาดเล็กมีระดับสูง ปี่ขนาดใหญ่มีเสียงต่ำ โดยนิยมนำมาเข้าชุด ปี่จุม 3 ซึ่งประกอบด้วย ปี่ตัด ปี่ก้อย ปี่กลาง

ปี่จุมนิยมนำมาเล่นในงานรื่นเริงทางภาคเหนือ ก่อนการเล่นเพลงซอ จะมีการเล่นเพลงตั้งเชียงใหม่ เพื่อทดสอบเสียงของผู้ขับซอกับเสียงปี่จุมว่าเข้ากันหรือไม่ จากนั้นจึงต่อด้วยเพลงเงี้ยว เพลงพม่า เพลงจะปุ เพลงจ้อยเจียงแสน เพลงละไม้ พระลอเดินดง และเพลงอื่อ ซึ่งเป็นเพลงที่ใช้ในการอำลา

ท่วงทำนองของปี่จุมมีทั้งหมด 14 ทำนอง ปัจจุบันสูญหายแล้วอย่างน้อย 5 ทำนอง พ่อครูก๋วนดา เชียงตา ศิลปินเพลงพื้นบ้าน จึงได้อนุรักษ์การละเล่นปี่จุม รวมถึงถ่ายทอดการละเล่น ตลอดจนการประดิษฐ์เครื่องดนตรีพื้นบ้านนี้ ให้คงอยู่คู่เมืองล้านนาต่อไป

กลุ่มที่ 3 ดนตรีพื้นบ้าน vs. กระแสโลกาภิวัตน์

จากกระแสวัฒนธรรมต่างชาติที่เข้ามาในประเทศไทย ทำให้หลายฝ่ายเกรงว่า ดนตรีพื้นบ้านของไทยจะถูกกลืนหายไป แต่ท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนั้น ยังมี พ่อครูก๋วนดา เชียงตา ศิลปินเพลงพื้นล้านนา ผู้พยายามอนุรักษ์ดนตรีพื้นบ้านให้คงอยู่สืบต่อไป

ดังเช่นที่ได้เห็น นายวิทวัส ทิโน เด็กหนุ่มวัย 22 ปี จากอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ผู้มีใจรักดนตรีพื้นบ้าน หนึ่งในลูกศิษย์ของพ่อครูก๋วนดา โดยเขาเล่าให้ฟังว่า ความรักในดนตรี คือแรงบันดาลใจที่ทำให้เดินทางมาศึกษาวิชากับพ่อครู ที่นอกจากจะเป็นความรู้แล้ว ยังสามารถสร้างรายได้ให้กับตนเอง

ขณะที่นายภาสกร  มาธุระ นักศึกษาคณะดนตรีไทยของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่เดินทางมาศึกษาวิชากับพ่อครูก๋วนดา เพื่อเพิ่มความสามารถ โดยเขาบอกว่า การได้เห็นได้ชมการละเล่นดนตรีพื้นบ้านตามงานวัด ทำให้เกิดความชอบ และเป็นแรงบันดาลใจให้สนใจอย่างจริงจัง จึงได้พยายามศึกษาและลองเล่นเรื่อยมา

สิ่งที่พ่อครูมักจะบอกอยู่เสมอว่า ไม่อยากให้วิชาความรู้ของตนต้องสูญสิ้นไปตามอายุขัยนั้น อย่างน้อยเวลานี้ ก็มีเด็กหนุ่มทั้งสองคน ที่มาสานต่อความตั้งใจของพ่อครูที่ต้องการอนุรักษ์ดนตรีพื้นบ้านล้านนาให้คงอยู่กับลูกหลานต่อไป

กลุ่มที่ 4 เสียง….ที่กำลังจะหายไป

“สวัสดีปี้น้องตังหลาย  ตึงญิงตึงจาย ม่วนล้ำ…….” เสียงซอจากพ่อครูก๋วนดา เชียงตา ศิลปินเพลงพื้นบ้านล้านนา ขับขานต้อนรับแขกผู้มาเยือน ประกอบเสียงเครื่องดนตรีพื้นเมืองอย่างปี่จุม ที่น้อยคนนักจะรู้จักและเคยได้ยิน

พ่อครูก๋วนดา เล่าให้ฟังว่า ปี่จุมเป็นเครื่องเป่าของล้านนา คำว่า จุม เป็นภาษาล้านนา หมายถึง การชุมนุมหรือประชุม ปี่จุมจึงเป็นการนำปี่หลายๆ เล่มมาเป่ารวมกัน โดยปี่จุมทำจากไม้รวกเล่มเดียว นำมาตัดให้มีขนาดสั้น ยาว โดยปี่ขนาดเล็ก จะมีเสียงสูง ปี่ขนาดใหญ่ จะมีเสียงต่ำ ปี่จุมใช้ประกอบการขับซอพื้นเมืองของล้านนา นิยมกันมากในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง โดยเพลงหรือทำนองที่ใช้ประกอบปี่จุมมีหลากหลาย อาทิ ทำนองตั้งเชียงใหม่ จะปุ ละม้าย เงี้ยว อื่อ พม่า เป็นต้น

“อมหาย  คายรอด” เป็นคำพูดของพ่อครูก๋วนดา ที่ต้องการถ่ายทอดภูมิปัญญา “ปี่จุม” ที่สั่งสมมากว่า 30 ปี ทั้งการทำปี่จุม ดนตรีพื้นเมือง เพื่อไม่ให้หายไปพร้อมกับตัวพ่อครูเอง ซึ่งปัจจุบันมีลูกศิษย์เข้ามาเรียนรู้ และสืบทอดภูมิปัญญาปี่จุม

ลูกศิษย์ของพ่อครูคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า “มีความตั้งใจที่จะอนุรักษ์สิ่งดังกล่าวไว้มิให้สูญหายไปกับกาลเวลา โดยมีชอบปี่จุมตั้งแต่เด็ก ที่คุณยายพาไปดูการแสดงซอ จนทำให้เสาะแสวงหาความรู้เพิ่มเติม และมาพบกับพ่อครูก๋วนดา ทำให้ได้ฝึกฝนและเรียนรู้เรื่องปี่จุมอย่างถ่องแท้ จนมีความคิดว่าอยากจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเผยแพร่สิ่งที่ตนได้เรียนรู้ให้แก่คนรุ่นหลังสืบไป เพราะไม่อยากให้หายไป”

ขณะที่พ่อครูก๋วนดา ก็บอกเพียงสั้นๆ ว่า “ปี่จุมนั้นอยู่มา 700 กว่าปี และจะอยู่ต่อไปได้อีกเป็นร้อยๆปี แค่นี้ก็นอนตายตาหลับแล้ว” ก่อนปิดท้ายด้วยเพลงอื่อ เป็นการอำลาแขกผู้มาเยือน

 

 

ที่มา : เว็บไซต์ปันสุข
Shares:
QR Code :
QR Code