ปีใหม่…ชีวิตใหม่ เปลี่ยนเรื่อง ร้าย กลายเป็น ดี

แผ่นดินจะทรุด น้ำจะท่วม เกิดม็อบหลากสี ดวงตกปีชง…สารพัดเรื่องร้ายที่จะเกิดในปีใหม่ ตามคำทำนายทายทักของหมอดูชั้นครูออกมาเตือนให้ระวัง แต่กลับกลายเป็นความตื่นตระหนก หลายคนวิตกกับสถานการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้น      

การทำบุญ จึงเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ ที่จะแก้ไขเรื่องร้ายให้กลับกลายเป็นเรื่องดีได้ ด้วยความเชื่อของคนไทยที่ว่ากุศลผลบุญที่ทำจะส่งผลให้การเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกปีดีขึ้น หลายครอบครัวจึงแสวงหาวิธีการทำบุญครั้งใหญ่ แก้เคล็ด เสริมดวงที่แตกต่างกันไป      

ปฏิบัติบูชา เสริมเมตตา มงคล

กระแสการทำบุญแบบไหน ตอนนี้ก็ไม่นิยมเท่า “การสวดมนต์ข้ามปี” เป็นการปฏิบัติบูชาที่นำหลักธรรมะมาใช้เตือนสติ เจริญจิต ภาวนา ไม่ว่าจะเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ หรือลูกเด็กเล็กแดงก็สามารถทำร่วมกันได้ และยังถือว่าเป็นการทำบุญที่ได้บุญมากที่สุดอีกด้วย      

การสวดมนต์ข้ามปี ตั้งแต่ปีนี้ไปจนถึงปีใหม่ สามารถสวดมนต์ต่อไปเรื่อยๆ เพื่อให้จิตใจเป็นสมาธิ ไม่คิดร้าย ไม่ว่าร้าย โดยนำหลักธรรมมาปฏิบัติ จึงเป็นสิ่งที่ดีมาก ทำให้ชีวิตเราเป็นมงคลและเจริญรุ่งเรือง      

 “เปลี่ยนจากเคยเมาข้ามปี มาสวดมนต์ข้ามปี ทำดีตลอดทั้งปี แล้วเราก็จะมีพร โดยไม่ต้องไปขอพรจากใครเลย” คำคมจากพระพยอม กัลยาโณ      

อานิสงส์ของการสวดมนต์ข้ามปี ท่าน ว.วชิรเมธี กล่าวไว้ว่า สามารถลดความเสี่ยงจากอบายมุข อุบัติเหตุ และความชั่วร้าย, เป็นการทำบุญใหญ่ให้กับชีวิต (ทั้งทางกาย ทางจิต และทางปัญญา), เป็นการส่งท้ายด้วยธรรม และต้อนรับด้วยศีล, เป็นการสร้างบรรยากาศรู้เช่นเห็นจริงในสัจธรรม, เริ่มต้นชีวิตด้วยสิ่งที่เป็นสิริมงคลอันจะส่งผลให้ได้พบสิ่งที่เป็นมงคลตลอดทั้งปี      

ด้านพระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต กล่าวว่า การปฏิบัติบูชาเป็นกระทำที่ได้บุญมากที่สุด หากเราเอาดอกไม้ธูปเทียนไปไหว้พระ 9 วัด หรือดูแลพ่อแม่ ผู้มีพระคุณ ก็ยังไม่ได้บุญเท่ากับการเรานำธรรมะขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปปฏิบัติ เช่น การรักษาศีล 5      

“นอกจากมีสมาธิมีคำพูดดีๆ แล้ว ก็เอาสิ่งที่สูงสุดในตัวเรา คือศีรษะ เอาไว้เบื้องล่างสิ่งที่ต่ำที่สุดของผู้มีพระคุณ พระอรหันต์ในบ้าน ก็คือพ่อแม่ของเรา เพื่อให้ท่านให้ศีลให้พรก็จะเป็นสิ่งที่เป็นมงคลอย่างมาก ส่วนพระนอกบ้าน สามารถทำบุญตามกำลังศรัทธา ตามศักยภาพที่เรามี และถ้าใครมีศักยภาพจะไปทำบุญกับผู้ด้อยโอกาสกว่าเราก็ย่อมได้ ไม่ว่าจะเป็นคนแก่ หรือเด็กกำพร้า”

ให้ด้วยใจเป็นบุญยิ่งกว่าสิ่งใด

ดังคำกล่าวที่ว่า “การให้เท่ากับการรับ” ให้มากได้มาก ให้น้อยได้น้อย คนที่มีมากก็ให้มาก ส่วนคนที่มีน้อยก็ให้น้อย จะมากหรือน้อย หรือจะเป็นการทำเอาหน้าหรือไม่ สุดท้ายก็คือ “บุญ”      

เหมือนอย่างที่พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต ได้ให้คำสอนเตือนสติไว้ “เสแสร้งแกล้งทำดี ยังดีกว่าตั้งใจทำความชั่ว”      

พระไพศาล วิสาโล กล่าวว่า ในอดีตคนไทยส่วนใหญ่มีความเชื่อเรื่องของชาติหน้า แต่เขามีจิตเมตตากรุณา และไม่นิ่งดูดายเมื่อเห็นคนที่เดือดร้อน ซึ่งถือเป็นค่านิยมที่ส่งเสริมและถ่ายทอดกันมา แตกต่างจากปัจจุบัน แม้คนไทยจะมีความเชื่อเรื่องบุญ แต่มักจะทำบุญด้วยจิตที่เจือความโลภ คือ ไม่ได้หวังจะขึ้นสวรรค์เพียงอย่างเดียว แต่หวังอยากถูกหวย อยากมั่งมี อยากประสบความสำเร็จในชาตินี้เลย ซึ่งเป็นการทำเพื่อตัวเองแท้ๆ คือ การทำบุญด้วยจิตที่มีโลภะอยู่      

 “พระพุทธเจ้าตรัสว่า ‘ทาน’ ที่มีอานิสงส์ไม่มาก ก็คือทานที่ให้ด้วยใจที่มีเยื่อใย หวังสั่งสมบุญ หรือหวังเสวยสุขในภพหน้า ถ้าผู้ที่ทำบุญยังมีจิตใจแบบนั้นอยู่ ก็จะไม่ได้อานิสงส์มากเท่าที่ควรจะเป็น

หากเราทำบุญ ไม่ว่าจะให้ทาน หรือช่วยเหลือใครก็ตาม เรามุ่งแต่ประโยชน์สุขของผู้รับ โดยไม่นึกถึงตัวเองว่าเราจะได้อะไร นั่นกลับเป็นบุญยิ่งกว่า นอกจากนี้ยังเป็นการขัดเกลา ลดละความเห็นแก่ตัว และลดละความยึดมั่นในตัวตนด้วย คนไทยควรทำบุญแบบนี้ให้มากขึ้น”      

ถึงแม้ใครจะพูดกันว่าทำบุญเท่าไหร่ก็ไม่เห็นผลสักที แต่หากเราทำบุญเรื่อยๆ ด้วยจิตที่เป็นกุศล ไม่นานบุญนั้นจะให้กำไรเพิ่มพูน ใช้ไม่หมดถึงชาติหน้า เหมือนกับคำกล่าวที่ว่า “ทำดีลูกเดียว แล้วจะกำไรทุกชาติ”   

  

นอกจากการทำบุญจะทำให้จิตใจดี วาจาดีแล้ว ต้องมีการกระทำที่เป็นมงคลด้วย การกตัญญูกตเวทีต่อครอบครัว ผู้มีพระคุณ ต่อองค์กร ต่อประเทศไทย และโลกใบนี้ของเรา เหมือนเป็นการเสริมความเป็นสิริมงคลให้แก่ตัวเอง      

ปล่อยสัตว์ได้บาป

เคยสังเกตไหมว่าพระดังที่มีชื่อเสียง หรือพระอาจารย์นักเทศน์จะไม่ค่อยพูดถึงการปล่อยนก ปล่อยปลา ที่มาจากพ่อค้าแม่ค้าที่ร้องขายอยู่หน้าวัด หรือสถานที่ทำบุญต่างๆ ไม่ใช่ว่าลูกค้าที่มีจิตเป็นกุศลซื้อแล้วปล่อยจะไม่ได้บุญ แต่อาจได้บาปกลับไปด้วย     

การปล่อยสัตว์ สิ่งมีชีวิตให้เป็นอิสระ เหมือนเป็นการให้ชีวิต ในทางพุทธศาสนาถือว่าเป็นบุญ แต่การทำบุญปล่อยสัตว์ในเมือง บางสถานที่ก็ไม่เหมาะสมกับสัตว์ชนิดนั้นที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้ ตรงกันข้ามความตั้งใจที่จะให้สัตว์มีชีวิตอยู่รอด แต่สุดท้ายต้องตายก็กลายเป็นบาปที่รู้ไม่เท่าทัน      

เต่าก็เป็นสัตว์อีกชนิดหนึ่งที่คนทำบุญนิยมปล่อย ด้วยความเชื่อว่าถ้าปล่อยเต่าจะมีอายุยืนเป็นร้อยปีเหมือนเต่า แต่พอเอาไปปล่อยลงน้ำ โดยไม่รู้เลยว่าเป็นเต่าบกหรือเต่าน้ำ ผลลัพธ์จึงไม่ต่างกันแทนที่เคยคิดว่าจะได้บุญ มีอายุยืน กลับเป็นกรรมหนักเข้าไปอีก เหตุเพราะความไม่รู้ โดยไม่ศึกษามาก่อน       

ถ้าอยากทำบุญปล่อยสัตว์ที่ได้บุญ ได้กุศลจริงๆ พระหลายท่านเคยแนะนำไว้ว่า จริงๆ แล้วสัตว์ที่ปล่อยได้บุญอย่างแท้จริง คือ สัตว์ที่กำลังถูกฆ่า แล้วไถ่ชีวิตมาปล่อย จึงจะเป็นการทำบุญที่ยิ่งใหญ่มาก แต่สัตว์ที่ถูกจับมา แล้วมีแม่ค้ามาถามว่าจะทำบุญปล่อยนกปล่อยปลาไหม ซึ่งได้บุญเหมือนกัน แต่น้อยกว่ากันมาก

ปีใหม่อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด

จากคำทำนายของโหรชื่อดังหลายท่าน แผ่นดินจะทรุด น้ำจะท่วม เกิดม็อบวุ่นวาย การเมืองแตกแยก เศรษฐกิจตกต่ำ เรื่องร้ายๆ จากคำทำนายปี 2556 ได้ออกมาตีแผ่ จนหลายคนตื่นตระหนก ด้วยความกลัวว่าจะเกิดเหตุเพศภัยนั้นขึ้นจริง      

พระไพศาล วิสาโล ให้แง่คิดคำสอนไว้ว่า พินิจให้ดี ต้นไม้ยังรู้จักเปลี่ยนแสงแดดให้กลายเป็นร่มเงา เปลี่ยนขยะมูลฝอยให้กลายเป็นดอกไม้งามและผลไม้หอมหวาน มนุษย์เราก็เช่นกัน ควรรู้จักเปลี่ยนปัญหาให้กลายเป็นปัญญา เปลี่ยนความล้มเหลวให้กลายเป็นบทเรียน เปลี่ยนเคราะห์ให้กลายเป็นโชค และเปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นสุข

“หากถือเอาต้นไม้เป็นครู ชีวิตย่อมสงบเย็น เป็นสุขและมีคุณค่าอย่างยิ่ง”      

พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต กล่าวว่า จริงๆ แล้ว คำทำนาย มันมีโอกาสผิดพลาดสูง แต่หมอดูมักจะได้รับความคุ้มครองในเรื่องของคำทำนาย เช่น หากทายถูกจะมีคำชื่นชม ถ้าทายผิดไม่เป็นไร เพราะว่าอาจเปลี่ยนแปลงได้ ดวงดาวอาจจะเคลื่อน อย่างวันสิ้นโลกที่ผ่านมา เมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ไม่ได้มีใครออกมาว่าอะไร คิดว่าดีแล้วด้วยซ้ำ”       

“’ตัดอดีต ปิดอนาคต กำหนดปัจจุบัน’ เราควรเน้นที่ปัจจุบัน ทำวันนี้ให้ดีที่สุด หากเราทำปัจจุบันดี เมื่อวันนี้กลายเป็นเมื่อวาน อดีตก็จะดี ถ้าวันนี้ดี อนาคตก็จะดี โดยไม่ต้องไปกลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้น ทุกวันนี้โลกแตกทุกวันนะ แผ่นดินไหวตรงนั้นตรงนี้ พระอาทิตย์ที่เราเห็นก็ยังมีจุดดับ แต่ไม่ได้ดับทั้งหมด เหมือนโลกที่แตกอยู่เรื่อยๆ เราก็ควรช่วยกันดูแลโลกบ้าง เรามาสร้างบุคลิกที่สร้างสรรค์ เป็นประโยชน์ในปีใหม่ดีกว่า”

เช่นเดียวกับ ท่าน ว. วชิรเมธี เคยกล่าวไว้อีกว่า เมื่อมันยังไม่มาถึง ไม่ต้องกังวล เป็นเรื่องของวันหน้า แต่ที่สำคัญ คือเราจะใช้วันนี้ให้ดีที่สุด ให้คุ้มค่าได้อย่างไร?…ถ้าเราทำวันนี้ให้ดีที่สุด วันนี้ที่อยู่ในมือของเรา ท้ายที่สุดก็จะกลายเป็นอดีตที่ดี ทั้งยังเป็นรากฐานของวันพรุ่งนี้ที่มั่นคง เพราะฉะนั้น ถึงโลกจะแตกก็ไม่น่ากังวล เพราะสิ่งที่สำคัญอยู่ที่เราจะใช้ชีวิตอย่างไรก่อนที่โลกจะแตกต่างหาก      

“โลกนี้ไม่มีความบังเอิญ เป็นความจริงแล้วไซร้ ใช่หรือไม่ว่า เราก็ไม่ควรประหวั่นพรั่นพรึงกับ “บางปรากฏการณ์” (ทั้งในทางที่ดีและร้าย) ที่อุบัติขึ้นมาในชีวิตของเราโดยไม่คาดฝัน เพราะบางทีบางปรากฏการณ์อาจผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา ในฐานะเป็น “ส่วนที่เติมเต็ม” ของชีวิต มากกว่าจะมา “ริบ” เอาบางสิ่งไปจากชีวิตของเรา”      

หากเรามองว่าเรื่องร้ายๆ มักจะมาพร้อมกับบทเรียนดีๆ เสมอ ก็ไม่มีเหตุผลใดที่ต้องกังวลใจกับเรื่องราวเหล่านั้น เพียงแค่เปลี่ยนมุมคิด วิธีคิดเสียใหม่ ตรงกันข้ามกลับกลายเป็นเกราะป้องกันตัวเรา ก็จะทำให้เข้าใจโลกทุกวันนี้มากขึ้น     

เชื่อได้ แต่อย่างมงาย

ความเชื่อ ความศรัทธาของคนเรื่องดวงดี ดวงร้ายในปีใหม่ เป็นสิ่งที่ห้ามกันไม่ได้ บางคนเชื่อว่าทำพิธีสะเดาะเคราะห์แล้วดวงจะดี แต่บางคนมองว่าถ้าคนจะซวยทำอย่างไรก็ต้องซวยอยู่ดี และแม้วิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ แต่คนไทยก็มักถือคติที่ว่า “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” จึงมีอิทธิพลทางความคิดของคนถึงทุกวันนี้      

บางคนเชื่อเรื่องการเสริมดวง ใช้เงินเสริมจนเป็นหนี้เป็นสินมากมาย เรื่องนี้พระมหาสมปองคิดว่า ใครมีศักยภาพก็ทำไป หากมีความสุขก็ทำได้ ถ้าใครดูแล้วรู้สึกมั่นใจว่าจะดีขึ้นก็ทำ แล้วแต่กำลังทรัพย์ของแต่ละคน แต่ถ้าเราไม่มีก็ควรทำอย่างพอประมาณ ไม่ใช่ทำไปอย่างงมงายไร้สติ      

บางทีการดูดวงเหมือนเป็นการตลาด อย่างปีชง ถ้าไม่ชงปี ก็ต้องชงเดือน หรือชงวัน เช่นเดียวกับความเชื่อเรื่องโลกแตก ตรงไหนที่เขาว่าจะรอด ย่อมคึกคัก ค้าขายดี แต่ก็ไม่ได้มีอะไรเสียหาย หากเชื่ออย่างพินิจพิเคราะห์ใช้สติและปัญญา      

ด้าน ดร.อณัส อมาตยกุล นักวิชาการอิสระ กล่าวว่า ไม่ว่าโหรจะทำนายออกมาอย่างไร สังคมจะขัดแย้ง เศรษฐกิจจะไม่ดี คิดว่าศาสนาแก้ได้หมด เพียงชาวพุทธหันมารักษาศีล ปฏิบัติตามพระธรรม ไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องพิธีกรรมจนเกินไป

“ภัยที่เกิดขึ้นมาจากชาวพุทธไม่ปฏิบัติธรรมะเอง หากทุกคนหันมาปฏิบัติธรรม เราก็จะไม่ต้องไปทำพิธีสะเดาะเคราะห์อะไรเลย”  

หากเราเปลี่ยนความเชื่อให้เป็นการคิดอย่างมีสติ นำหลักธรรมะมาใช้ปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ก็จะรับรู้ได้ว่า ถ้าเรารู้จักมองโลกในแง่ดี อุปสรรคทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แท้ที่จริงมันก็คือครูของเรา มาสอนเราให้มีภูมิคุ้มกันในการดำเนินชีวิตต่อไป

คำอวยพรปีใหม่ เปลี่ยนชีวิตใหม่

พรปีใหม่ทำให้ชีวิตเจริญก้าวหน้า ท่านพุทธทาสเคยกล่าวไว้ว่า “ปีใหม่อย่าให้โง่กว่าปีเก่า” ถ้าโง่กว่าเก่า โง่เท่าเก่า แสดงว่ามันไม่มีอะไรใหม่     

“ถ้าคนเราหากเติบโตไปไม่มีความหนักแน่น สุขุม เยือกเย็น รอบคอบ มันเท่ากับเป็นการย่ำอยู่กับที่ แล้วจะมีสิ่งใหม่ๆ ได้อย่างไร จึงต้องมีการพัฒนาให้ฉลาดกว่า สูงกว่าเก่า” คำสอนจาก พระพยอม กัลยาโณ     

       ขอเดชะ คุณพระพุทธรัตน์ กำจัดทุกข์

        เจริญสุข สิริศักดิ์ มีหลักฐาน

        ขอเดชะ คุณพระธรรมรัตน์ กำจัดพาล

        ให้ไพศาล ผุดผ่อง พ้นผองภัย

        ขอเดชะ คุณพระสังฆรัตน์ กำจัดโรค

        ให้เสื่อมโศก สืบชนม์ จนเกินขัย

        ขอเดชะ คุณพระไตรรัตน์ ดังฉัตรชัย

        เจริญวัย เจริญศรีทวีงาม ทุกท่านเทอญ

       

       

ที่มา : หนังสือพิมพ์ASTV ผู้จัดการ

      

 

Shares:
QR Code :
QR Code