ปี(ขาล)ขานรับความเปลี่ยนแปลง

สามัคคีช่วยชาติได้

ปี(ขาล)ขานรับความเปลี่ยนแปลง 

          ปิดท้ายปีวัวบ้าไปด้วยคำถามที่คิดทีไรก็เฉียดบ้าแทบทุกครั้ง “เมื่อไหร่บ้านเมืองจะสงบสุข

 

          เปิดศักราชต้อนรับปีเสือดุ นึกว่าอะไรๆ ที่ทำลายความสุขบั่นทอนบรรยากาศสมานฉันท์ จะมลายหายวับไปกับปี 2552 ที่ผ่านไปแต่ปรากฏว่า “เปล่าเลย” อีกทั้งยังคงมีคนต้องการอยากรู้ อยากได้คำตอบว่า

 

          “เมื่อไหร่คนไทยจะหยุดทะเลาะกัน”…

 

          ก้อ..นั่นน่ะสิ! เมื่อไหร่? วันไหน? ผมก็ใคร่อยากรู้อยากเห็นเหมือนกันนั่นแหละ

 

          แต่ทว่า..ด้วยบทบาทหน้าที่ของความเป็นสื่อ ผมไม่อาจหยุดความสงสัยแค่ตั้งคำถาม แล้วก็รอคำตอบ(จากใครก็ไม่รู้) ผมต้องเพียรพยายามแสวงหาหนทางที่จะแก้ไขปัญหาเพื่อมาแบ่งปันกับท่านผู้อ่านทั้งหลาย ทั้งที่เป็นแฟนคลับขาประจำ และขาจรตรงนี้ขอรับ

 

          คนไทยโชคดีที่สุดในโลก

          ฉะนั้นการที่จะทำให้ประเทศไทยหรือสังคมไทย ปรับเปลี่ยนเป็นประเทศที่น่าอยู่ไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อม แม้วันนี้รู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถของคนไทยแน่ ถ้าปลุกใจตัวเอง “สู้โว้ย” เหมือนน้องอร ที่ทำให้รู้สึกฮึกเหิมก่อนการยกน้ำหนักเมื่อครั้งแข่งกีฬาโอลิมปิก

 

          ความโชคดีของคนไทย อยู่ตรงที่เมื่อบ้านเมืองเกิดวิกฤตหรืออับจนแทบจะหมดกำลังใจ เรามักจะมีแสงสว่างจากปลายอุโมงค์ส่องนำทางให้เดิน

 

          พระราชดำรัส เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2552 ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลเดช คือตัวอย่างหนึ่งลองอ่าน(อีกครั้ง) สิครับว่าใจความตอนหนึ่งว่า

 

          “ประชาชนชาวไทยทั้งหลาย บัดนี้ถึงวาระจะขึ้นปีใหม่ข้าพเจ้าขอส่งความปรารถนาดีมาอวยพรแก่ท่านทุกๆ คน ทั้งขอขอบใจท่านทั้งหลายเป็นอย่างมากที่วิตกห่วงใยในการเจ็บป่วยของข้าพเจ้า และแสดงออกโดยประการต่าง ๆ จากใจจริง ที่จะให้ข้าพเจ้าหายเจ็บป่วย และมีความสุขสวัสดี ความสุขสวัสดีนี้ เป็นสิ่งที่พึงปรารถนาอย่างยิ่งของคนเรา แต่จะสำเร็จผลเป็นจริงได้ มากน้อยเพียงใด ย่อมขึ้นอยู่กับความสามารถและสติปัญญา ในการประพฤติตัวปฏิบัติงานของแต่ละบุคคล

 

          ในปีใหม่นี้ จึงขอให้ชาวไทยทุกคน ได้ตั้งจิตตั้งใจให้เที่ยงตรงแน่วแน่ ที่จะประพฤติตัวปฏิบัติงานให้เต็มกำลังความสามารถ โดยมีสติรู้ตัวและปัญญารู้คิดกำกับอยู่ตลอดเวลา กล่าวคือ จะคิดจะทำสิ่งใด ต้องคิดหน้าคิดหลังให้ดี ให้รอบคอบทำให้ดี ให้ถูกต้อง ข้อสำคัญ จะต้องระลึกรู้โดยตระหนักว่าประโยชน์ส่วนรวมนั้น เป็นประโยชน์ที่แต่ละคนพึงยึดถือเป็นเป้าหมายหลัก ในการประพฤติตัวและปฏิบัติงาน เพราะเป็นประโยชน์ที่ยั่งยืนแท้จริง ซึ่งทุกคนมีส่วนได้รับทั่วถึงกัน ความสุขความสามัคคีจักได้เกิดมีขึ้น ทั้งแก่บุคคล ทั้งแก่ชาติบ้านเมืองไทย ดังที่ทุกคนทุกฝ่ายตั้งใจปรารถนา”

 

          พระราชดำรัสข้างต้น เป็นการตอกย้ำความโชคดีของคนไทยที่เรามีผู้ทรงไว้ซึ่งความรู้ความสามารถ และความห่วงใยต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง ช่วยชี้ทางออกหรือเฉลยคำตอบแล้วว่า

 

          ขอเพียงเรามีจิตสำนึกเพื่อส่วนรวม ทุกปัญหาจักต้องบรรเทาและคลี่คลายได้

          ฉะนั้น เริ่มต้นศักราชปีขาล การขานรับการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้น่าอยู่ที่สุดในโลกนั้น ผมบังอาจขอทำการนอกสั่งแนะนำให้ทุกคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนไทยใต้ร่มพระบารมีขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ลองสำรวจตัวเองว่า

 

          ปีที่ผ่านไป… เราได้ใช้สติปัญญาเพื่อการมีส่วนร่วมในการสร้างประโยชน์ต่อส่วนรวมมากน้อยเพียงใด

 

          ปีที่กำลังหมุนเวียนอยู่นี้..เราจะสามารถบริหารสติปัญญาเพื่อการมีส่วนร่วมในการแก้ไขเยียวยาปัญหาบ้านเมือง หรือยังคงยึดติด หลงตัวเองเป็นคนประเภทฉลาด แต่ใช้ปัญญาล้ำลึกไปในทางเบียดบัง บิดเบือนผลประโยชน์ส่วนรวมด้วยความแยบยลแล้วอ้างประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นสังคมเล็กๆ ในบ้าน ในครอบครัวโรงเรียน ชุมชน สถานที่ทำงาน องค์กร หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ ขยายไปจนถึงระดับประเทศ

 

          เมื่อสำรวจพบข้อบกพร่อง ผิดพลาดตรงไหน รับรองว่า ไม่มีคำว่า “สาย” ที่จะเกินแก้ไข เพราะเหตุผลมีอย่างที่ ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส กล่าววิเคราะห์สภาพสังคมไทยปี 2553 นั่นแหละว่า

 

          …สังคมไทย เป็นสังคมที่ป่วยมาหลายปี คงไม่หายทันทีก็อาจจะป่วยต่อไป จุดสำคัญทุกคนต้องช่วยกันรักษาให้หายป่วย โดยเอาจุดแข็งเรื่องน้ำใจเป็นตัวตั้งทุกอย่างจะดีขึ้น..

 

          อาจารย์หมอประเวศอาจจะพูดซ้ำๆ ซากๆ ในสายตาหรือความรู้สึกของใคร แต่ผมว่ามันเป็นการให้กำลังใจกันและกันในยามที่สังคมกำลังวิกฤตและเจ็บป่วยนี้ได้อย่างดี และที่สำคัญเป็นการกระตุ้นเตือนให้ทุกฝ่ายได้ตระหนักรู้และเข้าใจว่า เป็นหน้าที่ของทุกคนที่จะต้องแก้ไขปัญหาของประเทศ ไม่ใช่นั่งเฝ้ารอคอยคำตอบโดยไม่คิดทำอะไร นอกจากทำหน้านิ่วคิ้วผูกโบว์เท่านั้น

 

          “เราต้องมุ่งสร้างประเทศไทยให้เป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุดในโลก เป็นประเทศไทยหัวใจมนุษย์ ไม่ใช่ประเทศไทยกำไรสูงสุดถ้าประเทศไทยกำไรสูงสุดก็แย่งชิงกัน คนมีแรง คนได้เปรียบก็แย่งชิงคนจนก็แย่ลง สังคมไทยปี 2553 นี้ ที่ต้องทำมากที่สุดคือป้องกันความรุนแรง อย่าไปตีกัน อย่าไปฆ่ากันตาย อย่าไปนองเลือด ซึ่งมันทำลายโอกาส เพราะถ้าไปตีกันตาย เกิดมัคสัญญี กลียุค ทหารก็ต้องเข้ามายึดอำนาจ และอาจจะเป็นเผด็จการต่อไปอีก 10-20 ปี เพราะฉะนั้นทุกคนทุกฝ่ายต้องป้องกันความรุนแรง อย่าไปใช้ความรุนแรงมีอะไรก็พูดจากัน แต่อย่าไปใช้ความรุนแรง ถ้าคนในสังคมช่วยเหลือกันแนวโน้มก็น่าจะดีขึ้น”

 

          ข้อความตอกย้ำของราษฎรอาวุโส หากเรารู้จักติดตามปีขาลก็จะเป็นปีแห่งการขานรับความเปลี่ยนแปลงไม่มากก็น้อย

 

          แต่ใครขี้คร้านจะคิดหรือนึกไม่ออก ผมก็จะขอลอกความตอนหนึ่งในการปาฐกถาของอาจารย์หมอประเวศเรื่องการสร้างชุมชนเข้มแข็งเพื่อการแก้วิกฤตสังคมไทยมาบอกต่อในที่นี้ว่า

 

          ชุมชนจะเข้มแข็งได้จากการเกิดพลัง 5 ประการ 1.พลังของปัญญา ร่วมกันคิด 2.พลังทางสังคม รวมกันจะยุติความชั่ว ความทุจริต ความเลวร้ายทั้งปวงได้ 3.พลังของการจัดการ ทำให้เกิดผู้นำตามธรรมชาติ จะได้รับการยอมรับมากกว่าผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งหรือแต่งตั้ง 4.พลังทางจิตวิญญาณ คือการลดความเห็นแก่ตัวลง และ 5.จะเกิดพลังแห่งความสุข

 

          ช่วยกันคนละไม้คนละมือนะครับ รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่กับความพยายามของการมีส่วนร่วมเพื่อการสร้างประเทศให้น่าอยู่ต่อให้มีคนพยายามขายชาติเดินยั้วเยี้ยเต็มบ้านเต็มเมืองก็เหอะ

 

 

 

 

 

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

 

 

Update: 08-01-53

 

อัพเดทเนื้อหาโดย : อภิชัย วรสิทธิ์ขจร

 

Shares:
QR Code :
QR Code