ปิดเทอม เปิดชีวิต มิตรภาพริมหาดเกาะยาว
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ
"ยอมรับมีหลายอย่าง ที่ตอนแรกเรามอง พวกเขาแง่ลบ พอมารู้จักกันแล้ว มันดีกว่าที่คิดมาก เพราะเพื่อนทำให้เรารู้หลายอย่างเรื่องที่มาที่ไป ได้เข้าใจ ว่ามอญเป็นอย่างไง คลองเตยเป็นอย่างไร สุรินทร์มีดีอย่างไร รู้เลยว่าเราเข้าใจผิด"
ปิดเทอมปีนี้ของ "แจ๋ว" สาวน้อยตาคมที่ใช้ชีวิตบนเกาะยาวมากว่าสิบเจ็ดปี ดูจะมีกิจกรรมพิเศษ และไม่เหมือนกับปีไหนๆ ที่ผ่านมา เพราะปีนี้แจ๋วจะมีเพื่อนแปลกหน้ากว่าหลายสิบชีวิตกำลังบุกมาหาเธอและเพื่อนๆ บน "เกาะยาวใหญ่" ที่จังหวัดพังงาถึงบ้าน!
ในครั้งแรกแม้จะไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะมีหน้าตา บุคลิกหรือนิสัยเป็นยังไง แต่หลังจากใช้เวลาตลอดกว่า 3 วัน ร่วมเรียนรู้ แลกเปลี่ยน และทำหลากหลายกิจกรรมร่วมกันทำให้เธอพบว่าหลายเรื่องที่เคยมอง กับตัวจริงของเพื่อนกลุ่มนี้ไม่ใช่อย่างที่คิดเลย
"ถามว่าเคยดูถูกไหม ยอมรับนะเราเคยคิด เมื่อก่อนมองคนมอญในเกาะเราจะกลัว เห็นเขาขับรถใกล้มาเราบิดหนีเลย แต่พอได้รู้จัก ฟังเพื่อนพูด รู้สึกว่าเข้าใจมากขึ้น ส่วนคลองเตยเรานึกว่าจะเป็นแบบในหนังที่เรา
เคยดูหรือเปล่า หรือเพื่อนที่สุรินทร์ เราไม่เคย รู้จักได้ยินมาก่อน ก่อนเขามายังแอบไปเซิร์ชในกูเกิลด้วย เจอกันถึงได้เห็นว่าเออ เขามีความการแสดงหลายอย่างน่าสนใจ เราก็ไม่คิดว่าเขาจะประมาณนี้ ไม่คิดว่าเขาจะ เก่งๆ กัน ก็อยากจะขอโทษเพื่อนที่มองผิดไป" แจ๋วเผยความรู้สึกที่มีต่อเพื่อนกลุ่มใหม่
ด้าน "โอ" หนึ่งในสมาชิกศิลปินจากแกงค์มอญซ่อนผ้า แต่ไม่ซ่อนฝีมือ เปิดใจแบบเขินๆ ว่า ดีใจมากที่ได้มีโอกาสมาร่วมทริปนี้ เพราะนอกเหนือจากได้เจอเพื่อนใหม่ ได้ทำกิจกรรมหลากหลาย สิ่งสำคัญเขายังได้ฟังความคิดเพื่อนแต่ละคนที่แตกต่างจากเขา
"มันได้มุมมองของเพื่อนๆ หลากหลายกลุ่มที่ต่างคนก็ต่างคิดแตกต่างกัน ทำให้เราเข้าใจและเปิดใจมากขึ้น ผมอยากให้เพื่อนๆ ที่เป็นคนมอญเหมือนกันมาฟังอย่างนี้บ้าง เขาจะได้รู้ว่าเราต้องทำตัวอย่างไรเวลาอยู่กับ คนเยอะๆ อยากให้เขาได้มีความกล้ามากขึ้น"
งานนี้ไม่ได้มีเพียงแค่แจ๋วและโอ แต่ในทริปสร้างสรรค์ของโครงการ Play & Learn ปิดเทอม เปิดชีวิตคราวนี้ ยังมี เพื่อนหลากหน้าหลายตา ไม่ว่าจะเป็น หมอกและดำ คู่หูขาโจ๋สุดห้าวเป้งจากชุมชนคลองเตย ซีนักดนตรีหนุ่มมอญขวัญใจสาวๆ พี่แอ๋มจาก Music Sharing ครูช้างผู้สอนดนตรีพื้นบ้านให้เด็กชายขอบที่จังหวัดสุรินทร์ และเพื่อนๆ กลุ่มเด็กและเยาวชนแกนนำจากเยาวชนมอญ กลุ่มชาวไทยภูเขา จ.สุรินทร์ และเยาวชนแกนนำในพื้นที่ชุมชนเกาะยาวเอง มีรวมแล้วกว่า 40 ชีวิตที่มาเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน
ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ โครงการ Play & Learn ปิดเทอม เปิดชีวิต ถือเป็นส่วนหนึ่งในการเปิดโอกาสเสนอพ้นที่สร้างสรรค์สำหรับเด็กกลุ่มเฉพาะ ในช่วงปิดเทอม ซึ่งกิจกรรมครั้งนี้ประกอบด้วย การเรียนรู้วิถีชีวิตประมงผ่านการถ่ายทอดเรื่องราวจากผู้เฒ่าในชุมชน และเยาวชนในพื้นที่
"เกาะยาว" ถือเป็นเกาะ 1 ใน 155 เกาะของ จ.พังงา เป็นชุมชนมีการดำรงวิถีชีวิตวัฒนธรรมตามวิถีมุสลิม ซึ่งเป็นประชากรกลุ่มหลักมากกว่าร้อยละ 90 และเป็นเกาะที่มีทรัพยากรธรรมชาติสวยงามและหลากหลาย
ทำให้กิจกรรมในครั้งถือเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนสนุกสุดเหวี่ยง ทั้งกับการทดลองหาหอยริมหาด เรียนรู้ศึกษาวิชาน้ำขึ้นน้ำลงเพื่อจะลงเรือออกทะเลหาปลา หัดทำ ขนมบ้าบิ่นสินค้าเด็ดของชุมชนเกาะยาว ฟังดนตรีพื้นบ้านเกาะยาวจากป๊ะสัน แห่งหาดโละปาเละ ได้เล่นน้ำทะเลแหวกว่ายดูปลาที่เกาะห้อง และยังได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้วัฒนธรรมมุสลิมผ่านคำสอนทางศาสนา การปฏิบัติและข้อห้ามเพื่อให้เกิด สุขภาวะที่ดี
ซึ่งรู้หรือไม่ว่า รูปแบบกระบวนการโดยเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนผ่านกิจกรรมหลากหลายทั้งด้านวัฒนธรรม ดนตรี ศิลปะ มีกลุ่มเด็กเกาะยาวในพื้นที่เป็น หัวเรือใหญ่ที่ทั้งออกแบบและลงมือทำเอง
"เราอยากให้เด็กทำ เปิดโอกาสให้เขาคิดและลงมือทำด้วยตัวเอง โดยอย่ามองในเรื่องความสมบูรณ์แบบ อย่างงานนี้ แจ๋วกับเพื่อนๆ ในชุมชนจะช่วยกันคิดออกแบบกิจกรรม แล้วจัดการทุกอย่าง รวมถึง หาสถานที่" ศิริพร พรมวงศ์ หรือ พี่แอ๋ม จากกลุ่ม Music Sharing ผู้รับผิดชอบ โครงการฯ เล่าถึงแนวคิด และที่มาของกิจกรรมดังกล่าว
"เริ่มจากแอ๋มเป็นเพื่อนกับคุณหมอนิล (นพ.มารุต เหล็กเพชร) ซึ่งคุณหมอได้เห็นกิจกรรมที่เราทำในโครงการ The Music Sharing กับเด็กในชุมชนคลองเตย แล้วรู้สึกประทับใจ ว่าสิ่งที่เขาได้เจอแตกต่างจากที่คิด คือเด็กมีพลัง สามารถจัดการ ชีวิตตัวเองได้ จึงคิดกันว่าอยากจะพาเด็ก มาให้รู้จักกับเด็กเกาะยาว เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน ซึ่งเราเริ่มคิดต่อว่าเราก็มี เด็กกลุ่มอื่นๆ อีกที่ทำงานร่วมกัน ซึ่งพวกเขา เคยทำงานแลกเปลี่ยนปัญหา แนวคิด ประสบการณ์กันมาแล้ว
มาตอนแรกเด็กเกาะยาวก็กลัวเด็กคลองเตยนะ (หัวเราะ) เขามาถามเราว่า พี่เขาจะเป็นแบบนั้นไหม ส่วนเด็กคลองเตยก็มีภาพว่าเด็กมุสลิมรุนแรง พอมาเจอกันเขาก็รู้ว่ามันไม่เป็นแบบที่เขาคิด มันช่วยเปลี่ยนทัศนคติ ความคิดเขา และเปิดโลกการเรียนรู้มากขึ้น เขาก็จะเล่ากันว่าทำไมเด็กคลองเตยถึงมีปัญหา ทำไมเด็กชนเผ่าถึงออกจากเผ่าไม่ได้"
การทำงานกับเด็กกลุ่มนี้มานานทำให้แอ๋มมองเห็นปัญหาของเด็กแต่ละกลุ่ม จึงเลือกใช้กระบวนการกลุ่มสร้างการยอมรับขึ้นมา เพื่อให้เขาภูมิใจในตัวตนอัตลักษณ์
"เด็กกลุ่มนี้เป็นเด็กเปราะบาง ทั้งเด็กมีปัญหา เด็กชายขอบที่ขาดโอกาส เขาไม่ค่อยภูมิใจในอัตลักษณ์ แต่เราอยากให้เขาเห็นคุณค่าในตัวเอง ไม่ใช่ภาพที่สังคมมอง อย่างเด็กมอญ เขาจะกลัวที่จะบอกคนอื่นว่าเขาเป็นคนมอญ เขาจะไม่กล้า เล่าเรื่องตัวเองกลัวโดนดูถูก แต่เราพยายาม ทำให้เขาเข้าใจว่าเขาเป็นมอญก็สามารถภูมิใจในวัฒนธรรม ในภาษาตัวเองได้ ไม่ต้องอาย
เช่นเดียวกับเด็กคลองเตยเวลาไปไหนคนก็จะมองอีกภาพหนึ่ง เราก็พยายามเอาเรื่องเชิงบวกดึงเขาออกมา เราก็ใช้กระบวนการกลุ่มในเรื่องเซฟโซนก่อน เคารพความแตกต่างคนอื่น หรือแม้แต่เด็กมุสลิมคนอื่นก็จะไม่เข้าใจวิถีชีวิตเขา เราก็ต้องเคารพในวัฒนธรรมเขา ถ้าเราไปอยู่ในที่แตกต่าง
ที่ผ่านมาในช่วงปิดเทอม แอ๋มพาเด็กคลองเตยไปเจอเพื่อนๆ มาหลายที่ เพราะความเชื่อว่ากระบวนการเรียนรู้มันต้องเกิดจากการได้เห็นหรือสัมผัสของจริง การลงมือทำ แต่เด็กส่วนใหญ่
"ที่จะนะเราก็ไปมาแล้ว เหมืองคลิตี้ ก็ไปมา เรามองว่ามันเป็นการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ซึ่งได้ผลกว่านะ เพราะเขาก็จะเข้าใจว่าทำไมคนที่นั่นถึงไม่เห็นด้วยกับโรงไฟฟ้า เพราะเขาอยากอนุรักษ์ทะเลสวยๆ ของเขาไว้ ทั้งที่เราเองก็เคยให้เขาหาข้อมูลเรื่องนี้ ในอินเทอร์เน็ต เขารู้แต่ไม่เข้าใจบริบท เราจึงเลือกใช้กระบวนการเรียนรู้"
เธอว่ากระบวนการเรียนรู้ในห้องเรียน บางครั้งไม่สามารถเชื่อมความรู้สึกของเด็กได้ จึงไม่เกิดจิตสำนึกหรือความตระหนัก
"พอเขามองภาพไม่ออกไม่เข้าใจ มันก็น่าเบื่อสำหรับเขา เราจึงคิดว่าการพาเขาออกไปเหยียบถึงที่มันเกิดการเรียนรู้ อย่างกิจกรรมวันนี้ เราให้เขาเลือกใช้สีจากธรรมชาติ ทำไมเราต้องรักษาสิ่งแวดล้อมนะ"
ซึ่งช่วงปิดเทอมกลายเป็นช่วงที่เด็กๆ ทุกคนชอบมาก เด็กคลองเคยก็เหมือนกัน ช่วงเวลาปิดเทอมมันเป็นอีกจุดเสี่ยง เพราะพ่อแม่ไม่รู้จะเอาเด็กไปฝากที่ไหน ส่วนใหญ่พ่อแม่คือผู้ใช้แรงงาน เด็กจะหมกตัวอยู่ที่ร้านเกมเป็นหลัก
เธอบอกต่อว่าการเปลี่ยนพฤติกรรมต้องใช้พลังกลุ่ม มันต้องสร้างความรู้สึกร่วม ให้เขารู้สึกว่าเท่ ต้องได้รับการยอมรับ ทำให้เขามีตัวตน
"อย่างการรวมแกงค์ของเด็กในคลองเตย ก็เป็นพลังกลุ่มนะ แต่การรวมแกงค์มาทำในเรื่องดีมันมีน้อยไง เราก็ต้องค่อยๆ เปลี่ยน ซึ่งตอนปีที่เราพาไปคลิตี้ เราไปสอนเขาเรียนดนตรีเขาชอบ แต่เขาไม่มีเครื่องดนตรี พวกเด็กๆ ก็เลยตัดสินใจยกเครื่องดนตรีให้เพื่อน พอเชื่อมโยงเป็นเพื่อนกันแล้ว มันก็สร้างการแบ่งปัน การเป็นผู้รู้จักให้ หรือเด็กๆ มอญกลุ่มนี้ ที่บ้านเขาที่มะละแหม่งเป็นเรื่องยากมากที่จะเห็นหรือได้จับ เครื่องดนตรี พอเขามาเรียนดนตรีกับเรา เขาภูมิใจกลายเป็นคนที่เท่มากในบ้านเขา ทำให้เขาฝันอยากเป็นนักดนตรีเป็นครู และอยากไปจัดกิจกรรมแบบนี้ที่บ้านเขาบ้าง"
ด้าน ภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ สสส. เสริมมุมมองว่า "หากเป็นเด็กทั่วไป คงเป็นเรื่องไม่ยากที่จะหาเวลาทำกิจกรรมที่ตัวเองชอบได้ แต่เด็กกลุ่มนี้เขาอาจไม่ค่อยมีโอกาส ซึ่งจากการที่ทาง สสส. เคยทำสำรวจเรื่องกิจกรรมที่เด็กอยากทำในช่วงปิดเทอม ทำให้เราพบว่ามากกว่าร้อยละ 70 ของเด็กสนใจกิจกรรมท่องเที่ยวแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม เราก็มองว่าเด็กกลุ่มนี้ไม่ต่างจากเด็กคนอื่น"
เธอบอกว่าสิ่งที่ สสส. คาดหวังจากการสนับสนุนโครงการ คือการส่งเสริมให้เยาวชนเหล่านี้ได้ความรู้จากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ขณะเดียวกันก็สามารถเพิ่มทักษะการใช้ชีวิตและเห็นคุณค่าตัวเอง
"ที่สำคัญเราอยากให้เขามีความสัมพันธ์ ที่ดีกับคนรอบข้าง มองคนอื่นบวกขึ้นและ มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับคนอื่น ซึ่งส่วน ปิดเทอมเป็นแค่การแลกเปลี่ยนโอกาสหนึ่ง"
พร้อมกล่าวว่า เด็กแต่ละคนมีทั้งจุดแข็งและจุดเด่นแตกต่างกัน ทำให้ในอนาคต สสส. ยังต้องทำงานเจาะปัญหา เด็กในแต่ละกลุ่ม ที่มีบริบทต่างกันเหล่านี้ต่อไป ซึ่งกระบวนการทำงานแบบกลุ่มไม่ได้มุ่งเน้นแค่กับเด็กและเยาวชนเท่านั้น แต่ต้องร่วมมือกับครอบครัว โรงเรียน และชุมชนของเขา ต้องมีพื้นที่และเปิดโอกาสให้เขาแสดงศักยภาพ เพื่อที่เด็กและเยาวชน ที่เข้าร่วมจะได้รับประโยชน์และเกิดการ กระตุ้นพัฒนาการและทักษะชีวิต สามารถนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปปรับปรุง ปรับใช้ และเปลี่ยนแปลงตนเอง สร้างการยอมรับและการมีตัวตนในสังคมต่อไป
มาตอนแรกเด็กเกาะยาวก็กลัวเด็กคลองเตยนะ 'หัวเราะ' เขามาถามเราว่าพี่เขาจะเป็นแบบนั้นไหม ส่วนเด็กคลองเตยก็มีภาพว่าเด็กมุสลิมรุนแรง พอมาเจอกันเขาก็รู้ว่ามันไม่เป็น