ปาร์ตี้ท้ายปีถี่ยิบ กินอย่างไรไม่ให้อ้วน
ไม่ต้องน้ำหนักเกิน
“ขนมเค้ก” ขนมคู่ใจที่มาพร้อมกับงานเทศกาล ทั้งปีใหม่ คริสต์มาสที่ใกล้เข้ามาทุกขณะ หลายที่คงปฏิเสธขนมหวานอันโอชะนี้ไม่ได้ เพราะรสชาติ ความหวานที่นุ่มลิ้น สร้างสีสันและความสุขให้กับผู้รับประทานเป็นอย่างยิ่ง แต่สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้น คือ “ความอ้วน” ที่ทั้งสาวๆ หนุ่มๆ กลัวกันเหลือเกิน
อาจารย์สง่า ดามาพงษ์ ผู้จัดการโครงการพัฒนาระบบและกลไกเพื่อเด็กไทยมีโภชนาการสมวัย จึงได้แนะนำวิธีการเลือกรับประทานอาหารในช่วงเทศกาลแบบนี้ว่า ไม่ว่าจะเป็นเทศกาลปีใหม่หรือคริสต์มาสถือเป็นเทศกาลแห่งความสุข โดยสิ่งที่นำมาสร้างสุขให้แก่คนเรามีอยู่ 2 อย่าง คือ การมอบของขวัญให้แก่กัน และอาหารที่เป็นสื่อกลางในการมอบความรักแก่กัน ดังนั้นการรับประทานอาหารให้ดีต่อสุขภาพและมีความสุข ต้องเลือกและห่างไกลจากอาหารที่ทำให้เพิ่มน้ำหนัก โดยลักษณะของอาหารในช่วงเทศกาลที่รับประทานแล้วทำให้เกิดความสุขและทุกข์มาพร้อมกัน ได้แก่ อาหารที่มีแคลอรีสูง พวกประเภทอาหารของหวาน ขนมเค้ก น้ำอัดลม น้ำสมุนไพรที่มีรสหวานจัด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาหารรสมันและเค็มจัด เป็นต้น
“ถ้าเราคิดพลังงานในเค้ก 1 ปอนด์ อย่างเค้กปริมาณ 50 กรัม หรือ 1 ชิ้น จะให้พลังงาน 240 กิโลแคลอรี หรือเท่ากับข้าว 3 ทัพพี หากเรากินมากกว่า 1 ชิ้น ก็จะได้พลังงาน 400-800 กิโลแคลอรีได้ตามแต่ชิ้นเค้ก ขณะที่ใน 1 วันร่างกายคนเราในผู้หญิงควรได้รับพลังงานไม่เกิน 1,600 กิโลแคลอรี ส่วนผู้ชายไม่ควรเกิน 2,000 กิโลแคลอรี สมมติหากได้เค้ก 2 ชิ้น แล้วกินอาหารหลักอื่นๆ อีก ก็เท่ากับได้รับพลังงานเกิน ซึ่งก็ทราบกันดีว่าเหตุที่เค้กมีความเสี่ยงสูงต่อการทำให้น้ำหนักเพิ่ม เพราะเค้กทำมาจากแป้ง ซึ่งเมื่อกินแป้งเข้าไปแล้วจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลและไขมัน หากร่างกายใช้ไม่หมดก็ทำให้อ้วนได้”
สำหรับเครื่องดื่ม ทั้งน้ำอัดลม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ทำให้อ้วนได้ไม่ยากเลย อย่างง่ายๆ น้ำอัดลม 1 ขวด เท่ากับ การดื่มน้ำเปล่าที่มีน้ำตาลทรายละลายอยู่ 15 ช้อนชา เท่ากับข้าวประมาณ 3 ทัพพี ถ้าเรารับประทานข้าวมื้อนั้นในงานเลี้ยง 3 ทัพพีแล้วดื่มน้ำอัดลม 1 ขวด ก็เท่ากับรับประทานข้าวเท่ากับ 7 ทัพพีแล้ว
ดังนั้นอาจารย์สง่าถึงได้มีคำแนะนำดีๆ ให้เลือกรับประทานอย่างถูกวิธี เพราะในเมื่อเรารู้แล้วว่าการรับประทานอาหารหวาน มันที่มากเกินความจำเป็นต่อร่างกาย เราก็ต้องเลือกที่จะลดปริมาณการทานลง อย่าง น้ำพันซ์ อาจารย์สง่า บอกว่า แม้จะเป็นน้ำที่ทำจากส่วนผสมผลไม้ แต่ก็ต้องระวังเรื่องของความหวานที่มากเกินไป ดังนั้นก็ควรเลือกทำที่ไม่ให้หวานจัด แต่น้ำที่ดีที่สุด คือน้ำเปล่า
สำหรับเมนูที่ดีต่อสุขภาพในงานเลี้ยง อาจารย์สง่า สนับสนุนอาหารหลักของไทยที่ขาดเสียไม่ได้ อย่างส้มตำ อาจารย์สง่าบอกว่าขอเชียร์เต็มที่ เพราะการรับประทานส้มตำได้ประโยชน์ทั้งจากผัก และส่วนประกอบในส้มตำ แล้วยังมีรสชาติที่จัดจ้านสร้างสีสันความอร่อยให้กับอาหารในงานเลี้ยงได้อย่างไม่ยาก แต่สำหรับใครที่อยากได้ทางเลือกอื่น อาจารย์ก็แนะนำเมนูทางเลือก อย่างสลัดผักน้ำใส ยำผัก แกงที่ไม่ใส่กะทิ เช่น แกงส้ม แกงเลียง แกงป่า ของทอดก็รับประทานได้ แต่อย่าทานมาก ส่วนผัดก็หลีกเลี่ยงที่ผัดแบบใส่น้ำมันมาก หลังจากรับประทานข้าวเสร็จแล้ว ก็ควรทานผลไม้มากกว่าจะเป็นไอศกรีม ขนมเค้ก
ส่วนขนมไทย อาจารย์สง่า ก็บอกว่า ถือเป็นขนมในงานเลี้ยงที่น่าสนใจ โดยถ้าเลือกรับประทานเป็น ก็จะมีคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยต้องเป็นขนมไทยที่มีรสหวานไม่จัด ทำจากถั่วเป็นหลัก เช่น เม็ดขนุน ถั่วแปลบ ข้าวกระยาสารท ที่มีถั่วผสม กล้วยบวชชี เต้าส่วน ถั่วเขียวต้มน้ำตาล เต้าทึง
แล้วอย่าลืมผู้ที่มีโรคประจำตัว อย่างโรคเบาหวาน ต้องพึงระวังเรื่องอาหารที่มีรสหวาน เช่น ไอศกรีม ขนมเค้ก เป็นต้น ส่วนผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง ต้องระวังเรื่องอาหารที่มีรสเค็ม เพราะอาหารเค็มเมื่อทานเข้าไปแล้วจะส่งผลให้มีภาวะความดันโลหิตสูง อาหารมัน ก็เลือกไปทานอาหารประเภทย่าง อบ ต้ม นึ่งแทน และสิ่งสุดท้ายเมื่อรับประทานเข้าไปแล้ว ก็ต้องอย่าลืมออกกำลังกาย และลดอาหารประเภทแป้งและของหวานลง ทานแต่พอเหมาะด้วย
สุดท้ายนี้อาจารย์สง่า ลองเซ็ตเมนูง่ายๆ ในงานเลี้ยงมาเป็นไกด์ให้กับหลายคนที่คิดกำลังจะจัดงานเลี้ยงแบบง่ายๆ ว่า
อาหารคาว : ข้าวยำปักษ์ใต้ ส้มตำ ไก่ย่าง หมูแดดเดียว ยำผัก ยำถั่วพลู ต้มส้มปลากระบอก ต้มยำปลาช่อน น้ำพริกผักต้ม น้ำพริกปลา น้ำพริกอ่อง ส่วนอาหารทอดมีได้แต่ไม่ควรเกิน 2 อย่าง
ของหวาน : เน้นเป็นผลไม้ เช่น ส้มโอแกะเปลือก มะละกอ ส้ม สตรอเบอร์รี่ องุ่น (ซึ่งก็ต้องอย่าลืมล้างให้สะอาดด้วย)
เครื่องดื่ม : น้ำเปล่า น้ำผลไม้ น้ำพันซ์ที่ไม่หวานเกินไป
เทศกาลแห่งความสุขทั้งที ก็คาดหวังแต่ให้มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นต้อนรับศักราชใหม่ ก็คงต้องฝากเตือนเลือกที่จะรับประทาน เพื่อให้เกิดการทานอย่างมีความสุข ไม่ต้องทุกข์ใจหลังทานอาหารเสร็จ เพื่อให้เป็นของขวัญที่ดีและล้ำค่าให้กับตัวเอง
ที่มา : สุนันทา สุขสุมิตร Team content www.thaihealth.or.th
Update : 24-12-53
อัพเดทเนื้อหาโดย : สุนันทา สุขสุมิตร