ปลูก (ต้นไม้) เปลี่ยนโลก หยุด “ร้อน” ได้ด้วยชุมชน
ที่มา : คมชัดลึก
ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ
ปัญหา "มลพิษทางอากาศ" กำลังเป็นภัยคุกคามผู้คนทั่วโลก โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่เมืองใหญ่ ช่วงต้นปีที่ผ่านมาหลายพื้นที่ในประเทศ ไทย เช่น กรุงเทพฯ และจังหวัดทางภาคเหนือต่างประสบวิกฤติมลพิษหรือฝุ่นละอองทางอากาศ หรือ PM2.5 ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพและการใช้ชีวิต
หลังเกิดวิกฤติทุกคนเริ่มตระหนักถึงปัญหาและเริ่มคิดหาทางออก ซึ่งแม้ว่าการจัดการค่อนข้างเป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะการควบคุมต้นเหตุ แต่การสร้างปัจจัยที่จะมาเป็นตัวช่วยแก้ไขและป้องกันนั้นเราทุกคนสามารถทำได้ อย่างเช่น การสร้างระบบนิเวศในชุมชน ด้วยการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้เป็นปอดฟอกอากาศ ช่วยลดมลพิษและสภาวะอากาศ "โลกร้อน" ที่เปลี่ยนไป
เพราะต้นไม้และป่าไม้มีคุณสมบัติที่ดี คือสามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์ไว้ก่อนที่จะลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ ดังนั้น พื้นที่ป่าลดน้อยลงปริมาณก๊าซคาร์บอนได ออกไซด์ก็จะลอยขึ้นไปสู่ชั้นบรรยากาศเพิ่มมากขึ้น
โลกร้อนขึ้นเป็นปัญหาในหลาย ๆ พื้นที่ เช่น ที่ ต.ไทรย้อย อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก ผลกระทบจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนไปที่เห็นได้ชัด คือ ชาวสวนมะม่วงที่ประสบปัญหาผลผลิตตกต่ำ โดยเฉพาะรอบผลผลิตที่ผ่านมานี้ มีมะม่วงน้ำดอกไม้ออกขายน้อยมาก
โอกาสนี้ทางเทศบาลตำบลไทรย้อย โดย "สีฟ้า เกรียงไกรอนันต์" นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม ได้ใช้วิกฤตินี้เป็นตัวเชื่อมให้คนในพื้นที่มองเห็นสภาพปัญหาโลกร้อนที่กำลังเกิดขึ้น นอกจากนี้ยังได้รณรงค์ด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียว เพื่อให้สภาพอากาศกลับมาดีดังเดิม
ขณะที่ ต.เก่าย่าดี อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ เป็นพื้นที่หนึ่งที่ประสบปัญหาหมอกควันจากไฟป่าทุกปีจนส่งผลกระทบต่อชีวิตชาวบ้านทุกคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ "เกษฎา อุตอำมาตย์" นักวิชาการศึกษาองค์การบริหารส่วนตำบลเก่าย่าดี เปิดเผยว่า สภาพพื้นที่ของตำบลเก่าย่าดี อยู่บนแนวเทือกเขาภูแลนคา ทำให้อากาศร้อนมากกว่าพื้นที่ข้างล่าง ขณะเดียวกันมีไฟป่าเกิดขึ้นทุกปี เช่นเดียวกับการบุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อทำการเกษตรของชาวบ้าน ทำให้ผืนป่าลดลง ทาง อบต. เก่าย่าดีจึงร่วมกับชาวบ้านช่วยกันฟื้นคืนผืนป่าขึ้นตามปฏิบัติการทวงคืนผืนป่า ส่วนหนึ่งนำให้กลับมาเป็นป่าชุมชนรวม 600 ไร่ โดยช่วยกันปลูกต้นไม้ ซึ่งต้นไม้ที่ปลูกส่วนใหญ่เน้นเป็นไม้ท้องถิ่น และจำพวกต้นไม้ที่สามารถเป็นแหล่งกำเนิดอาหารได้
นอกจากนี้ยังมี ประดู่ มะค่า พะยูง แดง เต็ง รัง ทองกวาว (จาน) สัก เสลา โดยปลูกเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม และในวันที่ 5 มิถุนายน 2562 ซึ่งเป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก คาดว่าจะสามารถเพิ่มพื้นที่ป่าได้ประมาณ 20 ไร่
"อีก 5 ปี ข้างหน้าจะมีต้นไม้ที่มีเส้นรอบวงขนาด 45 เซนติเมตร ที่สามารถ กักเก็บคาร์บอนได้ โดยใช้สูตรการคำนวณการกักเก็บคาร์บอนป่าเบญจพรรณ คิดเป็น 15.62 ตันต่อไร่ เท่ากับว่า ต.เก่าย่าดี จะสามารถเพิ่มพื้นที่สีเขียวและกักเก็บคาร์บอนเพิ่มได้ทั้งหมด 312.4 ตันต่อไร่ เป้าหมายต่อไปคือเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้ได้ 80 ไร่ ไร่ละ 100 ต้น รวมทั้งหมด 8,000 ต้น ภายในระยะเวลา 1 ปี" เกษฎา กล่าว
เช่นเดียวกับพื้นที่ตำบลหงาว อ.เทิง จ.เชียงราย แน่นอนว่าเป็นพื้นที่ภาคเหนือซึ่งประสบปัญหามลพิษทางอากาศจากไฟป่าและการเผาไร่เผานา ซึ่งทางเครือข่ายตำบลต่างพร้อมใจกันที่จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีกในปีต่อ ๆ ไป ส่วนหนึ่ง คือ การส่งเสริมให้สร้างเสวียนรอบต้นไม้ เพื่อให้เป็นที่เก็บใบไม้ ขยะอินทรีย์ ลดการเผาไปในตัว "ภัทรพงษ์ แปงคำ" รองปลัดเทศบาลตำบลหงาว ให้ข้อมูลว่า การเพิ่มพื้นที่สีเขียวก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทางเทศบาลขับเคลื่อนมาอย่างต่อเนื่องด้วยการปลูกต้นไม้ในพื้นที่สาธารณะ โดยในวันที่ 5 มิถุนายน 2562 มีการปลูกต้นไม้ 5 ชนิด รวม 1,500 ต้น ได้แก่ 1.ต้นสะเดา 2.ต้นสัก 3.ต้นขี้เหล็ก 4.ต้นมะขามป้อม 5.ต้นมะกอกน้ำ ในพื้นที่ประมาณ 2 ไร่ ซึ่งในอีก 5 ปีข้างหน้า พื้นที่สีเขียวนี้จะสามารถกักเก็บปริมาณคาร์บอนได้ 31.24 ตันต่อไร่ และจะมีการต่อยอดการดำเนิน กิจกรรมทุกๆ ปี โดยการเพิ่มพื้นที่สีเขียวด้วยการปลูกขยายต่อจากพื้นที่เดิม
ท้องถิ่นต่าง ๆ เหล่านี้ คือแบบอย่างของการแก้ปัญหามลพิษทางอากาศและรับมือกับสภาวะอากาศ "โลกร้อน" ที่เปลี่ยนไป ซึ่งทางสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริม สุขภาพ โดยสำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน และเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ ได้ร่วมกันขับเคลื่อนกิจกรรมรณรงค์ สร้างภูมิ คุ้มนิเวศ : ปฏิบัติการชุมชนรณรงค์รับมือภาวะโลกร้อน
โดยมีศูนย์เรียนรู้การจัดการสิ่งแวดล้อมและลดโลกร้อน (ศรร.โลกร้อน) จำนวน 14 แห่ง เป็นแหล่งเรียนรู้ให้แก่พื้นที่ข้างเคียงในการแก้ปัญหาและป้องกันได้อย่างยั่งยืน ซึ่งหลาย ๆ พื้นที่ได้จัดกิจกรรมวันสิ่งแวดล้อมโลกอย่างคึกคัก เช่น ที่องค์การบริหารส่วนตำบลยางขี้นก อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี จัด "โฮมแลน แปนทาง สร้างป่า" โดยจะช่วยกันดูแลรักษาต้นไม้ในเกาะหนองใหญ่ ซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณะจำนวน 50 ไร่ ที่มีต้นยางนา ต้นรวงผึ้ง ต้นขี้เหล็ก ต้นกันเกรา จำนวน กว่า 500 ต้น ขณะที่องค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งสง อ.นาบอน จ.นครศรีธรรมราช จัดกิจกรรม สร้างคน รักษ์ป่า เตรียมปลูกต้นสักและตะเคียน อย่างน้อย 450 ต้น และจะปลูกเพิ่มในพื้นที่สาธารณะ 7 ไร่อีก 1,000 ต้น ภายใน 1 ปี
ขณะเดียวกันบางพื้นที่ก็จัดกิจกรรมดูแลสิ่งแวดล้อมในชุมชน โดยเฉพาะเรื่องขยะ อย่างที่องค์การบริหารส่วนตำบลเกาะสุกร อ.ปะเหลียน จ.ตรัง จัดกิจกรรม "ขยะสร้างบุญ" โดยจะจัดกิจกรรมในวันที่ 13 มิถุนายน หรือที่องค์การบริหารส่วนตำบลสุคิริน อ.สุคิริน จ.นราธิวาส มีกิจกรรม "ชุมชนอาสาพาทัวร์เก็บขยะ" โดยจะนำขบวนเรือเก็บขยะตามแม่น้ำไอตากอระยะทาง 6 กิโลเมตร เพื่อลดปริมาณขยะในแหล่งน้ำ
"ดวงพร เฮงบุณยพันธ์" ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน (สำนัก 3) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า มลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้นทั่วโลก เป็นข้อบ่งชี้หนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงสภาวะอากาศผิดปกติ ในวาระวันสิ่งแวดล้อมโลกเดือนมิถุนายนปีนี้ ทาง สสส.ได้ร่วมกันขับเคลื่อนในแนวคิดหลักว่าด้วย "สร้างภูมิ..คุ้มนิเวศ" ซึ่งสอดคล้องกับวาระการขับเคลื่อนของโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) ที่บอกว่า Beat Air Pollution "สร้างป่าลดมลพิษ" โดยมีเป้าหมายในการกระตุ้นการรับรู้และเพิ่มพื้นที่สีเขียวภายในชุมชน เพื่อลดมลพิษและสภาวะสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงระดับพื้นที่ จึงมีการกระตุ้นให้เพิ่มปริมาณต้นไม้ เพื่อช่วยจับฝุ่น ช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ ขณะเดียวกันการปลูกต้นไม้เท่ากับเพิ่มความมั่นคงทางอาหาร เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพได้ด้วย
"กิจกรรมการปลูกต้นไม้ทำได้ง่ายที่สุดแล้วในบ้านเรา บ้าน วัด โรงเรียน ทำได้หมด ชุมชนสามารถเลือกเองได้ว่าจะปลูกอะไร ซึ่งการปลูกต้นไม้ยังเป็นการสร้างความรับผิดชอบของพลเมืองที่มีต่อชุมชนตนเองและโลกด้วย ต่อไปเมื่อต้นไม้โตขึ้น ชุมชนร่มรื่น ก็เพิ่มมูลค่าได้ บางที่บางแห่งทำเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้ด้วย" ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน กล่าว
เหตุนี้ ท้องถิ่นและชุมชนจึงจำเป็นต้องตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศโลก ซึ่งขณะนี้เริ่มส่งผลชัดเจนในบางพื้นที่แล้ว โดยเฉพาะเรื่องของฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลงไป ฝนไม่ตกตามฤดูกาล ผลผลิตทางการเกษตรเสียหาย กระทบต่อรายได้ ครัวเรือน
"สสส.จึงอยากให้ท้องถิ่นต่าง ๆ หันมาใส่ใจเรื่องโลกร้อน ร่วมกันปลูกต้นไม้ จัดการสิ่งแวดล้อมในชุมชน เราเชื่อว่าสิ่งนี้จะได้ผลแน่นอนเชิงพื้นที่เล็ก ๆ และจะส่งผลใหญ่หลวงต่อภาพรวมของประเทศและโลกด้วย" ดวงพร กล่าวอย่างเชื่อมั่น หากชุมชนร่วมใจกันปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียวกันคนละนิด แม้จะเป็นพื้นที่ไม่กว้างมากนัก แต่เมื่อทุกชุมชนทำพร้อม ๆ กันทั่วประเทศ บริเวณเล็กก็จะเป็นพื้นที่ใหญ่ ทำให้ผืนป่าสีเขียวกลับคืนผืนแผ่นดินไทยอีกครั้ง