ปลูกผักกินเองคนเมืองปลอดภัย

ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์


ภาพประกอบจากไทยโพสต์


ปลูกผักกินเองคนเมืองปลอดภัย thaihealth


การปลูกผักเชิงพาณิชย์ส่วนใหญ่มักใช้ทั้งสารเคมีและยาฆ่าแมลง ทำให้มีสารพิษตกค้างจำนวนมาก ส่งผลเสียต่อสุขภาพของผู้บริโภค และกำลังกลายเป็นสิ่งล้าหลังในยุคที่สังคมกำลังให้ความสำคัญเรื่องสุขภาพ และสรรหาสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย โดยเฉพาะอาหารดีๆ เช่น การเลือกซื้อผักปลอดสารพิษ หรือปลูกผักไว้กินเองในครัวเรือน ซึ่งปัจจุบันนี้ถือว่าไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป


หากได้รับฟังข้อมูลดีๆ ผ่านกิจกรรมเทศกาลสวนผักคนเมือง 2017 (ครั้งที่ 4) ตอน เส้นทางอาหารเมือง : Bangkok's Food Journey จัดโดยมูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับ สนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่จะทำให้คนเมืองรับทราบถึงแนวทางการปลูกผักกินเอง และประโยชน์ที่จะได้รับจากผักปลอดสารพิษ จัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ที่หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ (สวนโมกข์กรุงเทพฯ)


ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ สสส. กล่าวว่า จากรายงานการสำรวจสุขภาพประชาชนไทย โดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 5 พ.ศ.2556-2557 ซึ่งดำเนินการโดยสำนักงานสำรวจสุขภาพประชาชนไทย สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข พบว่าอัตราการบริโภคผัก-ผลไม้ของคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป ที่บริโภคได้อย่างเพียงพอตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก ที่แนะนำให้บริโภคผัก-ผลไม้ให้ได้วันละ 400 กรัม หรือ 5 ทัพพี มีเพียง 25.9 ดังนั้นประชาชนมากถึงร้อยละ 74.1 ยังขาดการกินผักและผลไม้ที่พอเพียง


ทั้งนี้ สัดส่วนของคนที่กินผักและผลไม้เพียงพอในแต่ละภาค พบว่า ภาคกลางมีสัดส่วนสูงสุด คือร้อยละ 32.4 รองลงมาคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 28.8 ภาคใต้ ร้อยละ 28.กรุงเทพฯ ร้อยละ 21.6 และภาคเหนือ น้อยที่สุด คือต่ำกว่าร้อยละ 20 สาเหตุอาจเนื่องจากวิถีชีวิตที่เร่งรีบ เราต้องพึ่งพิงอาหารสำเร็จรูป หรืออาหารจากตลาดเป็นหลัก


ประกอบกับประชาชนมีความกังวลใจต่อความปลอดภัยในการบริโภคผัก-ผลไม้ ซึ่งผลการสำรวจของเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ในปี 2559 ได้ตรวจพบสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่ตกค้างในผัก-ผลไม้เกินกว่าค่า Minimum Residue Level (MRL) ถึงร้อยละ 46.4 ทางออกหนึ่งคือ การล้างผัก-ผลไม้อย่างถูกวิธีก่อนบริโภค


ขณะเดียวกัน สสส.ได้ร่วมกับมูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) ในการสนับสนุนโครงการสวนผักคนเมือง เพื่อให้คนเมืองสามารถพึ่งตนเอง โดยส่งเสริมการปลูกผักในครัวเรือน สวนผักคนเมือง สวนผักในองค์กร มีการให้ความรู้และเครื่องมือมีความแพร่หลาย ผู้บริโภคเข้าถึงได้ง่าย และเกิดเป็นกระแสค่านิยมใหม่ในสังคม


นางสุภา ใยเมือง ผู้อำนวยการมูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) กล่าวว่า โครงการสวนผักคนเมืองเป็นส่วนหนึ่งของการริเริ่มให้เกิดการปลูกผักในเมือง โดยได้รับการสนับสนุนจาก สสส. มีเป้าหมายเพื่อยกระดับการพึ่งตนเองด้านอาหาร และส่งเสริมการบริโภคผักและผลไม้อย่างเพียงพอตามข้อแนะนำขององค์การอนามัยโลก ในการปลูกผักแบบไม่ใช้สารเคมีใดๆ ร่วมสร้างพื้นที่อาหารปลอดภัยในเมืองที่มีมิติเชื่อมโยงกับการพัฒนาด้านสุขภาพ การบริโภค วิถีชีวิต คุณภาพชีวิต และสิ่งแวดล้อมของเมืองที่อยู่บนฐานของการเกื้อกูล สร้างสังคมการอยู่ร่วมกัน การช่วยเหลือผู้อื่น และร่วมขับเคลื่อนหน่วยงานในระดับนโยบาย ให้เห็นความสำคัญและยอมรับเกษตรในเมืองเป็นประเด็นหนึ่งของการพัฒนาเมืองปัจจุบัน


"เทศกาลสวนผักคนเมืองจึงเป็นพื้นที่แห่งการแบ่งปัน แลกเปลี่ยน เรียนรู้ และเผยแพร่แนวคิด เทคนิคความรู้ และรูปธรรมการเชื่อมโยงเรื่องการปลูกผักกับมิติต่างๆ ให้ทั้งสมาชิกโครงการสวนผักคนเมืองและผู้ที่สนใจทั่วไปได้นำไปประยุกต์ปรับใช้ในวิถีชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยกันขยายผลและขับเคลื่อนเรื่องสวนผักคนเมืองในวงกว้างต่อไป"


นางสุภากล่าว และว่า จากการทำงานที่ผ่านมาพบว่า การสนับสนุนกลุ่มคนในเมืองปลูกผักผ่านโครงการขนาดเล็ก ทำให้เกิดพื้นที่ต้นแบบของการทำสวนผักประมาณ 170 กลุ่ม และผ่านการอบรมของศูนย์อบรมที่กระจายอยู่ในกรุงเทพฯ มีคนที่เกี่ยวข้องกับการปลูกผักประมาณ 8,000 คน และมีผู้เข้าร่วมอบรมปลูกผักประมาณ 10,000 คน อาทิ โครงการสวนผักนักเรียนห้วยขวาง มีการปลูกผักที่หลากหลาย เฉลี่ยที่ 20-30 ชนิดต่อพื้นที่ โดยความหลากหลายสูงสุดอยู่ที่ 63 ชนิด


โดยสวนผักช่วยสร้างพื้นที่สีเขียวในเมือง สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี เพิ่มพื้นที่ปอดให้กับเมือง โดยการใช้ประโยชน์จากพื้นที่รกร้างว่างเปล่า และพื้นที่สาธารณะ ให้เปลี่ยนมาเป็นพื้นที่อาหารของเมือง ซึ่งจะช่วยพัฒนาพื้นที่ที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ รวมถึงแก้ปัญหาพื้นที่เสี่ยง พื้นที่อันตรายของชุมชน และการปลูกผักยังช่วยจัดการขยะในเมืองได้อีกด้วย


"จากการเก็บข้อมูลพบว่า มีการจัดการขยะอินทรีย์ในเมืองเพื่อหมุนเวียนมาเป็นปัจจัยการผลิตสูงถึง 2,000-3,000 กิโลกรัม และขยะย่อยสลายยาก เช่น ถังพลาสติก ขวดน้ำ วัสดุเหลือใช้ต่างๆ มาเป็นภาชนะปลูกผักอีกประมาณ 600-800 กิโลกรัมต่อปี รวมถึงการปลูกผักบนดาดฟ้า หรือการปลูกผักบนพื้นปูน ที่ช่วยลดเกราะความร้อนในเมืองได้"


ผู้อำนวยการมูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) กล่าวต่อว่า การปลูกผักได้ถูกเชื่อมโยงไปสู่มิติอื่นๆ การสร้างต้นแบบ "สวนผักบำบัด" ของโครงการได้ทำให้เกิดการแก้ไขปัญหาให้กับกลุ่มผู้ด้อยโอกาสในสังคม เช่น กลุ่มผู้ป่วยจิตเวช ผู้ป่วยซึมเศร้า หรือกระทั่งผู้เสพยาเสพติด ได้มีโอกาสในการบำบัดและควบคู่ไปกับการส่งเสริมสุขภาพอีกด้วย


นี่คือประโยชน์ของผักปลอดสารพิษที่คนเมืองสามารถปลูกกินเองในราคาประหยัด ปลอดภัย และยังช่วยเหลือสิ่งแวดล้อมและผู้ด้อยโอกาสในสังคมอีกด้วย

Shares:
QR Code :
QR Code