ปลุกเยาวชนจากหน้าจอกระตุ้นสมอง-สมาธิ ด้วยกิจกรรมทางกาย

ที่มา : สยามรัฐ


ปลุกเยาวชนจากหน้าจอกระตุ้นสมอง-สมาธิ ด้วยกิจกรรมทางกาย thaihealth


แฟ้มภาพ


สถานการณ์ COVID-19 ที่ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้ชีวิตของผู้คนเหมือนถูกแช่แข็งไว้ในห้องสี่เหลี่ยมโดยมีช่องทางเดียวที่จะได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนจากภายนอก คือ "โลกออนไลน์" ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือเด็กๆที่เปรียบเสมือน "เมล็ดพันธุ์" ซึ่งต้องเติบโตภายใต้แสงอาทิตย์ ซึ่งเป็นแสงแห่งธรรมชาติแต่กลับต้องมา "โตหน้าจอ" รับแสง ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์แทน


ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ปิยวัฒน์ เกตุวงศา หัวหน้าศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ด้านกิจกรรมทางกายประเทศไทย (TPAK) ซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร ภายใต้สถาบันวิจัยประชากรและสังคมมหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งมีบทบาทสำคัญทางด้านการส่งเสริมกิจกรรมทางกายทั้งในระดับชาติและนานาชาติมานานนับ 10 ปี โดยในระดับประเทศ เมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดทำ "คู่มือส่งเสริมการเรียนรู้ 3 มิติ" เล่นเรียนรู้"


และในระดับนานาชาติคณะวิจัย TPAK นำโดย นายปัญญา ชูเลิศ หัวหน้ากลุ่มงานวิจัยและพัฒนาของ TPAK ได้ร่วมกับสมาคมกีฬาแห่งประเทศญี่ปุ่นจัดทำ "คู่มือการส่งเสริมกิจกรรมทางกายในเด็กด้วยแนวคิด ACP (Active ChildProgram)" โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ปิยวัฒน์ ได้กล่าวถึงความภาคภูมิใจในฐานะที่ TPAK เป็น "ปัญญาของแผ่นดิน" ที่ได้สร้างสรรค์องค์ความรู้เพื่อการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในด้านการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย และได้ผลักดันสู่ระดับนโยบาย ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ "Great University Great Contribution " เพื่อการก้าวสู่มหาวิทยาลัยอันดับโลกของมหาวิทยาลัยมหิดลด้วยการทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติและมวลมนุษยชาติ


ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ปิยวัฒน์ ได้ชี้ให้เห็นว่า พฤติกรรมเนือยนิ่งของเยาวชนเกิดจากสมองขาดการกระตุ้นให้ พร้อมต่อการเรียนรู้ซึ่งผลจากการวิจัยได้พิสูจน์แล้วต่อความเชื่อเดิมที่ว่า ช่วงเวลาตื่นนอนเป็นเวลาที่เยาวชนพร้อมต่อการเรียนรู้มากที่สุดนั้นไม่ใช่ความเชื่อที่ถูกต้องที่สุด เพราะการจะทำสมองให้พร้อมต่อการเรียนรู้เปรียบเหมือนกับการเตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนการออกกำลังกายโดยจะต้องมีการ "วอร์มอัพ" กันเสียก่อนจึงจะทำให้เกิดสมรรถนะสูงสุดได้


ซึ่งการให้เด็ก ๆ ได้มีกิจกรรมก่อนการนำเข้าสู่กระบวนการเรียนรู้เชิงวิชาการ จะช่วยให้เด็ก ๆ มีสมาธิได้มากขึ้นทั้งนี้ ช่วงเวลาของสมาธิจะนานเพียงใดขึ้นอยู่กับอายุของเด็กด้วยโดยยิ่งเด็ก ๆ ที่มีอายุน้อยพบว่าจะสามารถจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ไม่นานเท่าเด็กโตหรือผู้ใหญ่ จึงต้องมีการจัดกิจกรรมที่มีการเคลื่อนไหวคั่นตารางเรียนหรือปรับให้เป็นไปในลักษณะของการ  "เรียนปนเล่น" เพื่อให้เด็ก ๆ เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลินและไม่ปฏิเสธที่จะเข้าสู่บทเรียนซึ่งต้องใช้การคิดแบบวิเคราะห์ได้ต่อไป


กิจกรรมแนว "เรียนปนเล่น" ที่ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ปิยวัฒน์ ได้แนะนำสำหรับผู้ปกครอง เพื่อใช้สร้างบรรยากาศแห่งการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์และผ่อนคลายที่บ้านในช่วงสถานการณ์ COVID-19 ได้แก่ กิจกรรม "เรื่องเล่าเป่ายิ้งฉุบ" ที่ให้เด็ก ๆ ได้เล่นเป่ายิ้งฉุบสลับกับการแสดงท่าทางเพื่อฝึกประสาทสัมผัสและการเชื่อมโยงของระบบประสาทสั่งการต่าง ๆ หรือกิจกรรมการเล่นทายคำ โดยใช้ถ้วยกระดาษโยนเพื่อให้เด็ก ๆ ได้สลับกันทายเป็นต้น


ซึ่งจากการที่ TPAK ได้ร่วมวิจัยกับประเทศญี่ปุ่น เพื่อการออกแบบกิจกรรมทางกายสำหรับเยาวชน ที่ผ่านมาพบว่า รูปแบบการส่งเสริมการเล่นของไทยยังจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาให้มีความเหมาะสมในอีกหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเปิดโอกาสให้เด็ก ๆ ได้ออกแบบกติกาในการเล่น การจัดตารางเวลาการเล่นการสอดแทรกทักษะตามช่วงวัย และความรับผิดชอบและการให้ความสำคัญกับความปลอดภัย


ทั้งนี้ TPAK หวังให้คู่มือที่ได้สร้างสรรค์พัฒนาขึ้นดังกล่าว จะช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตของเด็กไทยให้ดีขึ้น เพื่อจะได้เป็นอนาคตที่สดใสพร้อมเป็นเมล็ดพันธุ์ซึ่งจะเติบโตเป็นกำลังสำคัญให้กับประเทศชาติได้ต่อไป


ติดตามตัวอย่างกิจกรรม Active Child Program อื่นๆ พร้อมข่าวสารที่น่าสนใจได้จาก Facebook: TPAK หรือทางwww.tpak.or.th


"…ความเชื่อเดิมที่ว่าช่วงเวลาตื่นนอนเป็นเวลาที่เยาวชนพร้อมต่อการเรียนรู้มากที่สุดนั้นไม่ใช่ความเชื่อที่ถูกต้องที่สุด..จะต้องมีการ'วอร์มอัพ'กันเสียก่อน…"


 

Shares:
QR Code :
QR Code