ปรุงอาหารงานบุญ เลี่ยงเมนูสุกๆ ดิบๆ
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข แนะปรุง ประกอบอาหารในงานบุญเลี่ยงเมนูสุกๆ ดิบๆ พล่า ยำ ลาบ ก้อย เน้นปรุงสุก สะอาด สร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคป้องกันท้องร่วง
ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลงานบุญประชาชนจะมีการทำอาหารแจกจ่ายคนในงาน โดยเฉพาะภาคเหนือและอีสานที่นิยมอาหาร เช่น พล่า ยำ ลาบ ก้อย ซึ่งมักจะปรุงแบบสุกๆ ดิบๆ และเน้นรสชาติที่เผ็ดจัดหรือเปรี้ยวจัด ซึ่งในงานบุญส่วนใหญ่มีการจัดเตรียมอาหารล่วงหน้าในปริมาณมาก ทำให้เพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคอุจจาระร่วงและอาหารเป็นพิษ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อโรค 3 ชนิด ได้แก่ Staphylococcus aureus หรือเชื้อโรคจากแผล ฝีหนอง Vibrio Parahaemolyticus หรือเชื้อโรคที่พบในอาหารทะเล และ Salmonella หรือเชื้อไทฟอยด์ อาการสำคัญที่พบประจำคือปวดท้อง ท้องเสีย หรืออาจจะมีอาเจียน ร่วมด้วย โดยสามารถป้องกันได้ง่ายๆ ด้วยการปรุงอาหารให้สุกอย่างทั่วถึงด้วยความร้อน
ดร.นพ.พรเทพ กล่าวต่อว่า จากข้อมูลของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 27 กรกฎาคม 2558 พบว่า มีผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วง 614,864 ราย เสียชีวิต 6 ราย โดยภาคเหนือมีอัตราการป่วยสูงสุด นอกจากนี้ยังพบผู้ป่วยโรคอาหารเป็นพิษ 74,290 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิต โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอัตราการป่วยสูงสุด ส่วนใหญ่พบได้บ่อยในสถานศึกษา ค่ายทัศนศึกษา งานบุญ งานประเพณีต่างๆ ดังนั้น ผู้ปรุงประกอบอาหารควรมีการปรุงอาหารให้สุกอย่างทั่วถึงด้วยความร้อน โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ต้องสุกเท่านั้น รสชาติไม่เผ็ดจัด หรือเปรี้ยวจัดจนเกินไป หากเป็นขนมจีนควรซื้อจากแหล่งจำหน่ายที่น่าเชื่อถือได้ และควรนำเส้นขนมจีนมานึ่งอีกครั้งก่อนจะนำมารับประทาน ผู้ปรุงประกอบอาหารทุกท่านต้องมีสุขวิทยาส่วนบุคคลที่ดี สวมผ้ากันเปื้อนใส่หมวกคลุมผม เล็บสั้น ใช้ถุงมือหรือภาชนะอุปกรณ์ในการหยิบจับอาหาร หากมีบาดแผลต้องปิดพลาสเตอร์ให้มิดชิด
"ทั้งนี้ อาหารที่ปรุงประกอบอาหารเสร็จแล้ว หากยังไม่รับประทานทันที ควรใส่ในภาชนะที่สะอาด ปลอดภัย มีการปกปิด วางสูงจากพื้นอย่างน้อย 60 เซนติเมตร หากเก็บไว้นานเกิน 4 ชั่วโมง ควรนำมาอุ่นให้เดือดก่อนนำมารับประทาน ส่วนอาหารที่ไม่สามารถอุ่นได้ เช่น ยำ พล่า ควรปรุง ประกอบในปริมาณเท่าที่จะรับประทานเท่านั้น ไม่ควรทำทิ้งไว้นานๆ สิ่งที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ คือ อาหารที่มีกะทิ นม และไข่เป็นส่วนประกอบไม่ควรทำไว้ล่วงหน้านานเกิน 4 ชั่วโมง เพราะจะทำให้อาหารบูดเสียได้ง่ายและควรเก็บรักษาในตู้เย็นหรือถังน้ำแข็งที่มีอุณหภูมิไม่เกิน 5 องศาเซลเซียส หากพบมีลักษณะที่เปลี่ยนไป เช่น มีฟองอากาศ กลิ่นเหม็นบูด รสชาติเปรี้ยว ไม่ควรนำมารับประทาน ส่วนน้ำดื่มควรต้มสุกหรือดื่มน้ำที่บรรจุขวดที่ได้มาตรฐานน้ำบริโภค น้ำแข็งต้องเป็นน้ำแข็งที่ผลิตเพื่อการบริโภคและได้มาตรฐานรับรองเท่านั้น นอกจากนี้หากรับประทานอาหารร่วมกันควรใช้ช้อนกลางและก่อนรับประทานอาหาร หลังเข้าห้องส้วมต้องล้างมือด้วยน้ำและสบู่ให้สะอาดทุกครั้งเพื่อลดสื่อนำโรคติดต่อจากอาหารและน้ำ” อธิบดีกรมอนามัย กล่าวในที่สุด
ที่มา : สำนักสื่อสารและตอบโต้ความเสี่ยง กรมอนามัย
ภาพประกอบจาก http://www.lesla.com/board/file/11/20101028-002958-1314775123.jpg