ประเพณีบุญบั้งไฟในยุคโควิด ความเชื่อ โอกาสและความเสี่ยง
ที่มา : แนวหน้า
แฟ้มภาพ
ประเพณีบุญบั้งไฟเป็นการจัดบั้งไฟถวายพญาแถนเพื่อให้ฝนตกตามฤดู และให้มีน้ำเพียงพอที่จะทำการเกษตร โดยนิยมจัดในช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคม บุญบั้งไฟเป็นประเพณีที่คนอีสานให้ความสำคัญมากโดยถือว่าเป็นวันรวมญาติเพราะญาติพี่น้องที่ไปทำงานต่างถิ่นจะกลับมาร่วมงาน กล่าวกันว่าคนอีสานให้ความสำคัญกับประเพณีมากกว่างานสงกรานต์
ดังนั้นเครือข่าย งดเหล้า สสส. และมูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะจัดเวทีเสวนาออนไลน์ "ประเพณีบุญบั้งไฟในยุคโควิด ความเชื่อ โอกาสและความเสี่ยง" ในวันที่ 29 เมษายนที่ผ่านมา นายมานพ แย้มอุทัย คณะกรรมการกำกับทิศ สำนักควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสังคม สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) กล่าวว่า บุญบั้งไฟเป็นประเพณีแห่งสปิริตหรือจิตวิญญาณ (Spirit) คือ เป็นกิจกรรมของความร่วมมือกันของชุมชนที่ตั้งใจทำบั้งไฟให้ดีที่สุดเพื่อจุดบูชาพญาแถน มีการแบ่งหน้าที่กัน ทั้งการทำบั้งไฟ การรำ การเตรียมสถานที่ เป็นต้น ซึ่งต้องใช้เวลานาน ใช้ความพยายาม และความสามัคคี และเป็นสปิริตที่ลูกหลานต้องกลับบ้านเพื่อไปร่วมงาน
อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาเปลี่ยนไปพัฒนาการประเพณีบุญบั้งไฟเปลี่ยนไปมาก โดยนายจันทร์ โต๊ะสิงห์ ผู้ประสานงานประชาคมงดเหล้าจังหวัดศรีสะเกษ เล่าว่า งานบุญบั้งไฟถือเป็นวิถีของชาวอีสาน วิวัฒนาการของบั้งไฟแบ่งเป็น 3 ช่วง ช่วงแรก บั้งไฟทำจากไม้ไผ่อัดดินประสิว ผู้คนจะร่วมแรงร่วมใจกันทำงานอย่างเต็มที่ มีความสุขตามวิถีวัฒนธรรมที่แท้จริง ช่วงที่สอง บั้งไฟเปลี่ยนมาเป็นเสาเหล็ก มีการวัดว่าบั้งไฟใครอยู่ในอาการได้นานกว่ากัน โดยปล่อยน้ำลงพร้อมกับปล่อยบั้งไฟจนกว่าบั้งไฟจะตกถึงพื้นแล้ววัดระดับน้ำว่าใครได้มากกว่ากัน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่สนุกสนาน หากบั้งไฟแตกหรือไม่ขึ้นเจ้าของจะถูกจับโยนลงบ่อโคลน
อย่างไรก็ตาม เสาเหล็กแตกอาจทำให้เสียชีวิตได้ ยุคนี้เริ่มมีการขายเหล้าในงานอย่างเต็มที่โดยยังไม่มีการควบคุมใดๆ ส่วนในช่วงที่สาม บั้งไฟจะใช้ท่อพีวีซี จะสามารถทำให้ขึ้นสูงได้มากถึงระดับเครื่องบิน ยุคนี้มีการแข่งขันอย่างเป็นทางการและมีการลักลอบพนันโดยมีเงินทุนหมุนเวียนจำนวนมาก มีการดื่มเหล้าเยอะมาก การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวโดยเฉพาะในช่วงที่สามจะทำให้คุณค่าของประเพณีบั้งไฟลดลง
จากปัญหาของประเพณีบั้งไฟข้างต้น ทำให้สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) พยายามรณรงค์ในพื้นที่ต่างๆ 36 พื้นที่โดยรณรงค์เรื่องเหล้า การพนัน และความปลอดภัย นายวิษณุ ศรีทะวงศ์ผู้จัดการแผนงานพัฒนานโยบายสาธารณะ สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า(สคล.)เปิดเผยว่า หลายปีที่ผ่านมาเครือข่ายงดเหล้า โดยการสนับสนุนของสสส.ได้มีพื้นที่ปฏิบัติการงานประเพณีบุญบั้งไฟ 36 แห่ง สามารถลดปัญหาความไม่ปลอดภัยจากการดื่ม เมาวิวาท และลดปัญหาการเล่นพนันในงานบุญบั้งไฟได้เป็นอย่างดี โดยส่วนมากการจุดบั้งไฟจะมีการตั้งวงสังสรรค์และดื่มหนัก สคล.จึงเริ่มเห็นปัจจัยเสี่ยงหลายประการที่มาควบคู่กับการดื่มเหล้า
ที่ผ่านมาจึงมีการจัดวงคุย วงเสวนา ได้มีการรณรงค์เรื่องเหล่านี้ในพื้นที่จัดงานต่างๆ ทั้งขบวนแห่ ทำความเข้าใจกับร้านค้า ตรวจเตือน ทำแผนที่จุดเสี่ยง ทำ MOU ประกาศนโยบายสาธารณะในระดับพื้นที่ สร้างพลังในชุมชน เสริมกิจกรรมสร้างสรรค์ ทำพื้นที่โซนนิ่งในการจุดบั้งไฟ(ระยะปลอดภัย) เพื่อทำให้งานบั้งไฟเป็นงานที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน ซึ่งช่วงโควิดระบาดในรอบนี้ต้องระมัดระวังเป็นอย่างมากในการจัดงานบุญประเพณี ซึ่งหลายพื้นที่ไม่มีการจัด บางพื้นที่จัดเพียงแต่การบวงสรวงบูชา จึงมีข้อเสนอให้แต่ละชุมชนได้ใช้โอกาสนี้ในการสืบค้นคุณค่าความหมายคุณค่าของงานบุญบั้งไฟ เน้นการจัดงานแบบ SMS (Small / Meaningful / Safe) เล็กๆ แต่มีคุณค่าความหมาย โดยเน้นไปที่มีผู้คน ชุมชน คนในครอบครัวได้มีความสุขร่วมกันอย่างปลอดภัย
เมื่อคนอีสานให้ความสำคัญกับประเพณีบุญบั้งไฟแต่ไม่สามารถดำเนินการ จะทำอย่างไร? โควิดได้สร้างโอกาสในการคิดถึงแก่นแท้ของวัฒนธรรมว่าทำเพื่ออะไร นางผ่องศรี แซ่จึง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดศรีสะเกษ เขต 8 กล่าวว่าที่อำเภอราษีไศล มีงานใหญ่ 3 งานคืองานบุญบั้งไฟ งานแข่งเรือ และงานฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานฯ สำหรับงานบั้งไฟเป็นงานที่ทุกคนจริงจังมาก มีการรวมกลุ่มกันทำบั้งไฟ ซ้อมรำ เป็นงานประจำปีที่เป็นวิถีความสนุกสนาน
ตั้งแต่ปี 2551 มีการรณรงค์ให้เป็นประเพณีปลอดเหล้า และขยายไปสู่งานบุญอื่นๆ เช่น งานศพปลอดเหล้า ซึ่งตำบลให้การยอมรับและเป็นฉันทามติของอำเภอราษีไศล ความร่วมไม้ร่วมมือของคนในพื้นที่ แสดงออกถึงความงดงาม เรามีบั้งไฟโบราณที่ทำจากไม้ไผ่ร่วมจุดในงานด้วย ภาพโดยรวมบ่งบอกถึงงานที่ปลอดภัย เพราะผู้คนในท้องถิ่นเห็นด้วยกับการจัดงานปลอดเหล้า รวมไปถึงการพนันที่ลดลง ผู้นำในท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆ ร่วมกันออกช่วย เป็นหูเป็นตา (ตรวจเตือน) โดยรอบงาน
เมื่อมีโควิดมา เรายังคงมีประเพณีบั้งไฟ เล็กๆ ระดับหมู่บ้าน เป็นการจุดฉลองปู่ตา เรียกว่าบุญเดือน 6 ในปัจจุบันทุกคนรับรู้แล้วว่าการจุดบั้งไฟไม่เกี่ยวกับฝนจะตกหรือไม่ตก ดังนั้นประเด็นท้าทายในอนาคตคือการจัดการกับทุนน้ำเมาที่เกี่ยวเนื่องกับงานบุญประเพณีที่จะทำให้คนมีความสุขได้โดยไม่ต้องมีเหล้า รวมถึงการให้ความสำคัญกับเด็กและเยาวชนยุคปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ซึ่งต้องยอมรับในความเปลี่ยนแปลงนี้ และควรหากิจกรรมเสริมที่น่าสนใจมาสนับสนุน ให้เด็ก เยาวชนให้ซึมซับวัฒนธรรมที่ดีงามได้ในแบบฉบับของคนรุ่นใหม่ ต่อไปนางผ่องศรีกล่าว
ทั้งนี้ ผู้แทนจากพื้นที่ต่างๆที่ได้ร่วมพูดคุยทางระบบออนไลน์ อาทิ งานบุญบั้งไฟตะไลล้านบ้านกุดหว้า อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์, งานบุญบั้งไฟล้านตำนานม้าคำไหล ต.บ้านธาตุ อ.เพ็ญ จ.อุดรธานี, งานบุญบั้งไฟปลอดเหล้าปลอดการพนัน อ.ราษีไศล, และงาน บุญบั้งไฟโบราณ ต.เสียว อ.โพธิ์ศรีสุวรรณ จ.ศรีสะเกษซึ่งพื้นที่การจัดงานส่วนใหญ่ระบุว่า ในปีนี้มีการบูชา รำบวงสรวง (นางรำต้องห่างกัน 2 เมตร) เพื่อเป็นการสืบสานประเพณีเท่านั้น มีการจัดจุดบั้งไฟตะไลเล็กๆ เฉพาะการบูชา ในบางพื้นที่มีการทำบุญตักบาตร ในลักษณะ New Normal โดยมี อสม. และเจ้าหน้าที่ดูแลคัดกรอง ประชาสัมพันธ์อย่างใกล้ชิด
นายวิษณุ กล่าวต่อว่า ในช่วงของสถานการณ์แพร่ระบาดโควิดครั้งนี้ ในการดำเนินงานหรือวิธีการทำงานก็ต้องมีการปรับเปลี่ยน เพื่อความเหมาะสม สำหรับการ จัดเวทีเสวนาครั้งนี้ สามารถจัดผ่านระบบออนไลน์ นับว่าเป็นโอกาสที่เราได้นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อการสื่อสารที่เข้าถึงกันได้ง่าย ทำให้มีความสะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น