ประกาศความสำเร็จชู43ตำบล "ปลอดความพิการแต่กำเนิด”

ที่มา : สำนักข่าวสร้างสุข


ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ


ประกาศความสำเร็จ ชู 43 ตำบล


เมื่อวันที่ 8 ก.พ. ที่โรงแรมตวันนา สมาคมเพื่อเด็กพิการแต่กำเนิด(ประเทศไทย) ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) แถลงผลสำเร็จโครงการระดับชาติต้นแบบจังหวัดและอำเภอเพื่อป้องกันและดูแลรักษาความพิการแต่กำเนิดในประเทศไทย ระยะที่ 2 (พ.ศ.2558 – 2560) และขับเคลื่อนนโยบายสู่ระดับชาติแบบองค์รวมอย่างเป็นรูปธรรม โดยมี  ศ.เกียรติคุณ พญ.ชนิกา  ตู้จินดา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการสร้างเสริมสุขภาพ สสส. เป็นประธานในการประชุม พร้อมมีพิธีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณให้แก่ สถาบันการแพทย์ 8 แห่ง สาธารณสุขจังหวัด 25 จังหวัดนำร่อง จังหวัดที่เข้าร่วมโครงการใหม่ ได้แก่ อ่างทอง , สมุทรปราการ,สระแก้ว และกรุงเทพมหานคร


ศ.เกียรติคุณ พญ.พรสวรรค์ วสันต์ หัวหน้าโครงการระดับชาติพัฒนาต้นแบบจังหวัดและอำเภอเพื่อป้องกันและดูแลรักษาความพิการแต่กำเนิดในประเทศไทย สสส. และนายกสมาคมเพื่อเด็กพิการแต่กำเนิด (ประเทศไทย) กล่าวว่า ประเทศไทยมีเด็กพิการแต่กำเนิดประมาณปีละ 30,000 คน สาเหตุของความพิการแต่กำเนิดเกินครึ่งหนึ่งมีผลมาจากพันธุกรรม แต่ความพิการแต่กำเนิดป้องกันได้ รวมทั้งสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กพิการตั้งแต่แรกเกิดและครอบครัวได้ ผลจากการดำเนินงาน โครงการระดับชาติต้นแบบจังหวัดและอำเภอ เพื่อป้องกันและดูแลรักษาความพิการแต่กำเนิดในประเทศไทย ระยะที่ 2(พ.ศ.2558-2560) จากความร่วมมือของสมาคมฯ สสส. คณะแพทยศาสตร์ 8 สถาบัน  และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) โดยมีเป้าหมายการทำงานในพื้นที่ 25 จังหวัดนำร่อง และ


ประกาศความสำเร็จ ชู 43 ตำบล


ศ.เกียรติคุณ พญ.พรสวรรค์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังร่วมขับเคลื่อนนโยบายระดับชาติร่วมกับ 4กระทรวงได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข(สธ.), กระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.),กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.), กระทรวงมหาดไทย(มท.) โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาในทุกระดับ มีการตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนงานระดับประเทศในการดูแลรักษาและป้องกันเด็กพิการแต่กำเนิดของประเทศ โดยท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข  เมื่อวันที่  9 ตุลาคม  พ.ศ.2560 การริเริ่มพัฒนาผลิตภัณฑ์จากข้าวเสริมไวตามิน บี9 ร่วมกับกระทรวงเกษตรกำหนดกรดโฟลิกเป็นส่วนประกอบของอาหาร การพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนในโรงเรียนร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ ควบคู่กับการให้ความรู้การป้องกันความพิการแต่กำเนิดด้วยการกินอาหารที่ประกอบด้วยสารโฟเลต เช่น ไข่แดง ตับ ผักใบเขียวเข้ม คะน้า แครอท แคนตาลูป ฟักทอง ถั่ว ผักบุ้ง ตำลึง ซึ่งล้วนแต่มีโฟเลตสูงควรกินอย่างน้อย 4 ขีดต่อวันหรือกินวิตามินโฟลิกในรูปแบบเม็ด โดยหญิงที่ต้องการจะมีลูกต้องกินวิตามินโฟลิกก่อนตั้งครรภ์ 3 เดือน ต่อเนื่องจนถึง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ ซึ่งจะช่วยป้องกันความเสี่ยงจากความพิการ แต่กำเนิดได้ถึง 50%  ซึ่งวิตามินนี้ผลิตโดยองค์การเภสัชกรรม หรือซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไปราคาเม็ดละไม่เกิน 1 บาท ขนาด 5 มิลลิกรัม


“มีการจดทะเบียนความพิการแต่กำเนิดตั้งแต่ในห้องคลอด วิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลของเด็กพิการแต่กำเนิดในพื้นที่รับผิดชอบเพื่อนำไปปรับปรุง/พัฒนางานบริการในพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพจัดตั้งคลินิกความพิการแต่กำเนิดในโรงพยาบาลจังหวัดเพื่อการดูแลแบบองค์รวมที่สำคัญคือ พยายามผลักดันให้เป็นนโยบายระดับอำเภอ /ตำบล เพื่อการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน นำไปสู่การบริหารจัดการเพื่อให้มีความเชื่อมโยงกับกองทุนฟื้นฟูในพื้นที่/อำเภอ/ตำบล/เพื่อนำไปสู่การสนับสนุนด้านงบประมาณในระยะยาวและยั่งยืน”


อนึ่งโครงการนี้เน้นการป้องกันด้วยวิตามินโฟเลตในหญิงวัยเจริญพันธุ์  (อายุ 12 – 49 ปี)  โดยให้รับประทานวิตามินโฟลิกสัปดาห์ละครั้งพร้อมกับเหล็ก  ซึ่งเป็นนโยบายของกรมอนามัย  กระทรวงสาธารณสุขอยู่แล้ว  ซึ่งเด็กหญิงในวันนี้จะเป็นแม่คนในวันหน้า  ดังนั้นการป้องกันความพิการแต่กำเนิดสามารถทำได้โดยให้ความรู้แก่ประชาชน  โดยให้วิตามินโฟลิก หรือB9  ซึ่งมีความสำคัญในการสร้างและซ่อม DNA  ในตัวอ่อนขณะตั้งครรภ์  ซึ่งจะมีผลต่อการสร้างสมองและระบบประสาท โดยสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ที่จะสนับสนุนส่งเสริมให้เป็นเด็กคุณภาพโดยเริ่มจากแม่คุณภาพ ศ.เกียรติคุณ พญ.พรสวรรค์ กล่าว

Shares:
QR Code :
QR Code