ปฏิรูปอย่างเท่าทัน
อย่าลืมโจทย์ลดโลกร้อน
ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยสนใจเรื่องกระแสปัญหาโลกร้อนหรือคุณเป็นอีกคนที่คิดว่าจะต้องไปเสียเวลาทำไมกับการศึกษาปัญหาในการลดโลกร้อน ในเมื่อวันๆ ก็พัลวันกับงาน ก็แทบจะหาเวลาว่างส่วนตั๊วส่วนตัวไม่ได้อยู่แล้ว แถมบ้านเมืองมีเรื่องใหญ่กว่าเรื่องโลกร้อนให้คิดอีกตั้งเยอะตั้งแยะนั้น
ผมอยากจะบอกว่า…คิดผิดคิดใหม่ได้ ยังไม่สายเกินไปครับ เพราะเรื่องเล็กๆ ในสายตาของคุณ หรือในความรู้สึกว่าห่างไกลจากตัวคุณเสียเหลือเกินนั้น มันเป็นปัญหาสะสมที่ทำให้เกิดคำว่า “เหลี่ยมล้ำ” และปราศจากความเป็นธรรมในสังคมไทยอย่างเหลือเชื่อ
รู้ๆ กันอยู่ใช่ไหมครับ ประเด็น “เหลื่อมล้ำ” เป็นเหตุผล สำคัญที่ทำให้เกิดวิกฤตปัญหาในประเทศชาติบ้านเมืองเมื่อต้นปีที่ผ่านมา และนำพาสู่การขับเคลื่อนนโยบายการปฏิรูปประเทศไทยของรัฐบาลในวันนี้
ความพยายามในการถอดโจทย์ปัญหาความเหลื่อมล้ำและตามล่าหาความจริงที่ทำให้ชาวบ้านเกิดความรู้สึกว่าความยุติธรรมีสองมาตรฐาน เพื่อหาทางแก้ไข เยียวยา ที่สำคัญมองหามาตรการป้องกันไม่ให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยขึ้นอีกนั่นเอง ทำให้เราได้รับรู้ในสิ่งที่ถูกมองข้าม และไม่เคยใส่ใจมานาน เพราะเห็นเป็นเรื่องไกลตัวบ้าง ธุระไม่ใช่บ้าง
กรณีศึกษา “การเมืองเรื่องโลกร้อน” ของ นายบัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ จากสถาบันธรรมรัฐเพื่อการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม เป็นอีกตัวอย่างที่ต้องบอกครับว่า หลายๆ พื้นที่บนผืนแผ่นดินไทยมีปรากฏการณ์ความเหลื่อมล้ำที่ผิดแผกแตกต่างกันไป บ้างก็ดูพิศดาร บ้างก็ดูแล้วให้รู้สึกว่า ไร้เหตุผลสิ้นดี
ถ้าอยากจะกระชับพื้นที่กำจัดความเหลื่อมล้ำล่ะก็ ต้องไม่มองข้ามปัญหาเล็กๆ ในความรู้สึกของคนใดคนหนึ่ง เพราะมันอาจจะเป็นชีวิตทั้งชีวิตของบางครอบครัวครับ
คุณบัณฑูร สนใจศึกษาการเมืองเรื่องโลกร้อนในระดับโลกมานานพอสมควร แต่ในโอกาสการนำเสนอผลงานการศึกษาต่อเวทีที่ประชุมปฏิรูปประเทศไทยเพื่อสุขภาวะของคนไทย ครั้งที่ 40 จัดโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ซึ่งมีนักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิทำงานในนามสถาบันเครือข่ายทางปัญญาร่วมรับฟังอย่างคึกคักนั้น เขาได้เพิ่มเติมประเด็นในส่วนที่เชื่อมโยงกับกระแสการปฏิรูปประเทศไทย เพื่อบอกว่า ประเทศไทยหากเดินหน้าปฏิรูปแล้ว ก็ต้องผนวกเอาประเด็นนี้เข้าไปด้วย จึงจะนับว่าเป็นการบริหารจัดการอย่างมีบูรณาการรอบด้านและเท่าทันความเปลี่ยนแปลงของโลกอนาคต
รายงานการศึกษาดังกล่าว นอกจากบอกกล่าวเล่าสิบถึงความคืบหน้าในการประชุมระดับโลกเพื่อลดภาวะโลกร้อนที่ล้มเหลวหลายครั้งหลายคราว สิ่งที่น่าสนใจผมมองว่ามี 2 ประเด็นใหญ่ที่สังคมไทยต้องซึมซับรับไว้เป็นบทเรียนหรือกรณีศึกษานั่นคือ
นโยบายการดำเนินการตามกรอบเพื่อการลดโลกร้อนของประเทศพัฒนาแล้ว อย่างสหรัฐอเมริกา ผู้นำประเทศเขาไม่สามารถตัดสินใจด้วยตัวตนคนเดียวหรือประชุมกันแต่ในคณะรัฐมนตรีไม่กี่คน แต่เขาถือว่าเรื่องนี้ส่งผลกระทบคอขาดบาดตาย ต้องนำเข้าพิจารณาในที่ประชุมรัฐสภา และเขายังตรากฎหมายอีกด้วยว่า หากข้อตกลงใดเห็นว่าจะทำลายเศรษฐกิจและสุขภาวะของสหรัฐอเมริกาล่ะก็..ห้ามตกลงเด็ดขาด
พี่ไทยอย่างเราเป็นไงล่ะ จะมีคนไทยสักกี่คนที่รู้ว่า ทุกวันนี้ป่าบางแห่งได้ขาย “คาร์บอนเครดิต” ให้กับประเทศที่พัฒนาแล้ว และจะมีใครสักกี่คนที่สนใจว่า ในอนาคตข้างหน้าประเทศไทยก็ต้องร่วมรับผิดชอบในการลดโลกร้อนตามพันธสัญญาที่รัฐบาลไทยได้ไปตกลงไว้
ประเด็นที่สองเป็นเรื่องระดับท้องถิ่น แต่สะท้อนภาพที่ชัดเจนว่า การเมืองเรื่องโลกร้อนได้ส่งผลกระทบต่อสุขภาวะของคนไทยแล้ว ทั้งๆ ที่กติกาและกฎหมายเกี่ยวกับกรณีนี้เป็นการเฉพาะ ยังไม่เคยปรากฏอย่างจริงจัง
เหตุเกิดที่อุทยานฯ เขาปู่-เขาย่า, เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเทือกเขาบรรทัด นางกำจาย ชัยทอง ถูกกรมอุทยานฯ ฟ้องร้องเรียกร้องค่าเสียหายกว่า 1.3 ล้านบาท ในกรณีตัดต้นยางหมดอายุเพื่อปลูกใหม่โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยกรมอุทยานฯ คิดคำนวณค่าเสียหาย มีทั้งค่าธาตุอาหารหายไป ค่าดินไม่ดูดซับน้ำฝน ค่าทำให้อากาศร้อนมากขึ้น (ส่วนนี้คิดเป็นเงิน 45,453.45 บาทต่อไร่ต่อปี) ค่าทำให้ฝนตกน้อยลง (คิดได้เป็นเงิน 5,400 บาทต่อไร่ต่อปี) ค่าทำให้น้ำสูญเสียไปจากพื้นที่โดยการแผดเผาของรังสีอาทิตย์ (ค่าเสียหายเท่ากับ 52,800 บาทต่อไร่ต่อปี)
สุดท้ายนางกำจายหมดตัว ล้มละลาย โดยที่ไม่รู้จักปัญหาโลกร้อนเลยแม้แต่น้อย
นี่จะเรียกเป็นความยุติธรรมที่ทุกคนมีหน้าที่ต้องรู้…จริงหรือ???
นี่จะสามารถเรียกว่า “ความเหลื่อมล้ำ” ในสังคมไทยได้หรือไม่???
ในเมื่อชาวบ้านบุกรุกป่าถูกดำเนินคดีปรับค่าทำให้โลกร้อน แต่นายทุนโค่นป่า จับจองภูเขาทั้ลูกสร้างรีสอร์ทกลับลอยนวล แล้วยังมีคำถามว่า บนถนนหลวงกลางกรุงเทพมหานครทุกวันนี้ ที่อากาศเสีย ต้องมีส่วนรับผิดชอบในปัญหาโลกร้อนด้วยหรือเปล่า
จากกรณีทั้ง 2 ประเด็น เรื่องเล็กๆ ในสายตาของคุณคงจะเปลี่ยนไปแล้วใช่ไหมครับ…ถ้าเห็นด้วยกับผม ก็คงต้องสรุปว่า
สังคมโลกปัจจุบัน เราไม่อาจปฏิเสธความสัมพันธ์ และความรับผิดชอบร่วมในฐานะสมาชิกประเทศบนโลกใบนี้ โดยเฉพาะประเทศไทยที่ประกาศตนเป็นประเทศประชาธิปไตยเสรีนิยม
การเตรียมพร้อมและปรับตัวให้เท่าทันกระแสโลกาภิวัตรเป็นความจำเป็น ในขณะที่เราเองก็ต้องตระหนักถึงสุขภาวะของคนไทยที่จะต้องเดินไปได้กับโจทย์ระดับชาติที่เกี่ยวพันถึงระดับโลกด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม รายงานการศึกษาของคุณบัณฑูร ทำให้เกิดโจทย์ว่า ท่ามกลางการตื่นตัวกับกระแสลดโลกร้อนในประเทศไทยนั้น คนไทยรู้เท่าทันและเท่าเทียมถึงความรับผิดชอบที่มีร่วมกัน หรือมีการผลักภาระนี้ไปให้กับกลุ่ม องค์กร หรือคนใดคนหนึ่งเท่านั้น
ดังนั้น ปฏิรูปประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพ ต้องไม่ลืมโจทย์เรื่องลดโลกร้อนครับ
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ โดย นายใฝ่ฝัน ปฏิรูป
Update : 24-09-53
อัพเดทเนื้อหาโดย : สุนันทา สุขสุมิตร