บ้านอาสาใจดีศูนย์รวมน้ำใจสู้ภัยน้ำท่วม
วิกฤตของชาติในเวลานี้คงไม่มีอะไรรุนแรงไปกว่าการรับมือกับปัญหาน้ำท่วม ที่กำลังส่งผลกระทบต่อคนเมืองอย่างกรุงเทพมหานคร ซึ่งปรากฏการณ์ที่เป็นภัยธรรมชาติในครั้งนี้ ยิ่งใหญ่ และรุนแรงมากที่สุดในรอบ 50 ปี และยังไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่า เมื่อไหร่ภัยพิบัติแห่งชาตินี้จะบรรเทาเบาบางลง
หลายเดือนที่ผ่านมาน้ำใจจากชาวกรุงหลั่งไหลลงไปยังพื้นที่ประสบภัยที่เป็นปราการด่านหน้าในการรับน้ำปริมาณมหาศาลที่ไหลลงมาจากภาคเหนืออย่างเช่น จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ชัยนาท อ่างทอง หรือแม้กระทั่งนครสวรรค์ ทั้งของบริจาค เงินทอง และความช่วยเหลือด้านการแพทย์และสาธารณสุขกระจายกำลังลงไปเต็มพื้นที่ประสบภัย สสส. หรือสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพเอง ก็เป็นองค์กรหลังที่เป็นเสมือนศูนย์กลางการรวบรวมความช่วยเหลือ เพื่อส่งต่อไปยังพี่น้องชาวไทยที่กำลังประสบกับความยากลำบากจากอุทกภัยในครั้งนี้
และเมื่อภัยมาถึงกรุงเทพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โครงการ “บ้านอาสาใจดี” จึงเกิดขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางในการรวบรวมอาสาสมัครในการทำงานช่วยเหลือสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกรุงเทพมหานครกำลังมีภัยจากน้ำเข้ามาจ่อประชิด ข่าวหลายสายต่างร้องขอความช่วยเหลือจากอาสาสมัครเพื่อช่วยบรรจุกระสอบทรายทำพนังกั้นน้ำ เพื่อรักษาศูนย์กลางการปกครองและเศรษฐกิจของประเทศเอาไว้
งานนี้ได้องค์กรอย่าง สสส. และ ภาคีเครือข่ายด้านสุขภาวะ ได้แก่กองทุนร้อยน้ำใจเพื่อการฟื้นฟูผู้ประสบภัยพิบัติ (open care) เครือข่ายองค์กรงดเหล้า มูลนิธิโกมลคีมทอง สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ มูลนิธิสุขภาพไทย และสถานีโทรทัศน์ thaipbs รวมทั้งกรมธนารักษ์ เปิดศูนย์อาสาสมัคร “บ้านอาสาใจดี” ขึ้นที่อาคารบรรษัทบริหารสินทรัพย์ (บบส.) ที่บริเวณปากซอยพหลโยธินซอย 3
สถานที่แห่งนี้เป็นศูนย์รวมน้ำใจของคนทุกเพศ ทุกวัยที่มีจิตอาสาอยากช่วยเหลือเพื่อร่วมชาติที่กำลังประสบภัยน้ำท่วม และนับตั้งแต่เปิดศูนย์นี้ขึ้นมาเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม มีผู้ใจดีเข้ามาบริจาคสิ่งของ และเยาวชน รวมทั้งประชาชนเข้ามาช่วยกิจกรรมบรรจุถุงยังชีพ ทำลูกบอลบำบัดน้ำเสีย หรือ emball ทำเสื้อชูชีพ และเรือจากขวดน้ำ รวมทั้งประดิษฐ์เครื่องกรองน้ำอย่างง่ายๆ นอกจากนั้นยังมีส้วม และตะกร้ายังชีพสำหรับแจกจ่ายไปยังชุมชนต่างๆ โดยที่มีวิทยากรคอยให้ความรู้และสอนการประดิษฐ์สิ่งของต่างๆ เหล่านี้ไปด้วย
“สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้มีแนวโน้มที่จะยืดเยื้อ และสร้างความทุกข์ให้กับประชาชนเป็นจำนวนมาก การเกิดบ้านอาสาใจดี จะเป็นการส่งต่อความรู้ให้กับชุมชนต่างๆ โดยมีภาคีของ สสส. ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากมาช่วยกระจายความช่วยเหลือ และกระจายความรู้เพราะวิกฤตครั้งนี้ถือเป็นสิ่งที่สังคมจะต้องเรียนรู้ร่วมกันว่า เราจะบริหารจัดการในยามวิกฤต ต้องทำอย่างไรให้ทุกภาคส่วนเกิดความร่วมมือระหว่างกันและจะสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน หรือท้องถิ่นได้อย่างไร ในกรณีที่ความช่วยเหลือจากส่วนกลางยังไปไม่ถึง” ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ผู้จัดการของ สสส. กล่าว
ในขณะที่อาสาสมัครจำนวนมากซึ่งเป็นเยาวชนที่จับมือกับเข้ามาช่วยงานที่บ้านอาสาใจดีนั้น ก็ได้ใช้เวลาว่างในช่วงปิดภาคเรียนที่มีทีท่าว่าจะยืดยาวออกไปตามวิกฤตอุทกภัยครั้งนี้ที่ยังไม่สิ้นสุด ในขณะเดียวกันพวกเขาจะได้พิสูจน์พลังของวัยรุ่น เยาวชนคนรุ่นใหม่ในเรื่องของการมีจิตอาสาช่วยเหลือสังคมส่วนรวมในยามที่เดือดร้อนด้วย
“แม้ว่าจะเป็นเด็ก แต่ก็อยากเป็นส่วนหนึ่งที่จะได้ช่วยเหลือคนไทยด้วยกันแม้เพียงเล็กน้อยก็ยัง ดี ซึ่งสิ่งที่ทำวันนี้ ยังไม่ได้ครึ่งหนึ่งของความเดือดร้อนที่คนอื่นต้องเจอ” น.ส.รักติบูล ตรึงวิจิตวิลาส นักเรียนจากโรงเรียนเซนโยเซฟคอนเวนต์กล่าว
ในขณะที่ นาย นายอรรถวัฒน์ กอบเกื้อ นักศึกษามหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ภาควิชาวิศวกรรมศาสตร์ อายุ 22 ปี กล่าวว่า ดีใจที่ได้เป็นหนึ่งในส่วนร่วม ได้ทำประโยชน์เพื่อคนอื่น
“ที่ผ่านมาผมเคยเข้าร่วมงานอาสาที่อื่นๆ มาแล้ว และคิดว่า ความทุกข์ของคนอื่นหากเราไม่ช่วยเหลือกัน ก็จะยิ่งทุกข์หนักขึ้น เชื่อว่าถ้าช่วยกันก็จะบรรเทาความเดือดร้อนลงได้บ้าง”
นี่เป็นเพียงตัวอย่างของกิจกรรมที่เกิดขึ้นในช่วงที่ประเทศของเรากำลังอยู่ในห้วงเวลาของความยากลำบาก แต่เชื่อมั่นว่า ด้วยแรงของทุกฝ่ายจะเป็นพลังมดที่นำพาให้ประเทศของเราฟันฝ่าอุปสรรคครั้งใหญ่หลวงนี้ไปได้อย่างแน่นอน
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ