“บุหรี่” ภัยร้ายทำลายสุขภาพ
พบคนไทยเป็นเหยื่อสูงถึง 10 ล้านคน
ถึงแม้แนวโน้มการสูบบุหรี่ของคนไทยในปัจจุบันจะมีทีท่าลดลง แต่ทว่า!! เมื่อหันกลับไปมองดูตัวเลขของผู้สูบบุหรี่แล้ว กลับพบว่า อัตราการสูบบุหรี่ของคนทั้งโลกไม่ได้ลดลงอย่างที่คิดเลย…
เพราะล่าสุด พบสถิติตัวเลขของผู้สูบบุหรี่ทั่วโลก มีจำนวนมากถึง 1,300 ล้านคน และในจำนวนนี้พบมีผู้เสียชีวิตจากการสูบบุหรี่ไปแล้ว 500 ล้านคน ที่สำคัญยังพบอีกว่า คนที่สูบบุหรี่นั้นจะอายุสั้นลงประมาณ 15 ปีด้วย ด้านประเทศไทยเองก็ตาม ถึงแม้จะมีผลสำรวจออกมาว่า ปัจจุบันคนไทยเกิดความตื่นตัวถึงภัยบุหรี่มากถึง 90% จนทำให้ต้องมีการจำกัดพื้นที่ในการสูบบุหรี่กันมากขึ้น ทั้งในสำนักงานและพื้นที่สาธารณะ แต่นั่นก็ไม่ช่วยให้คนไทยสูบบุหรี่น้อยลง เพราะเมื่อกลับมามองตัวเลขการสูบบุหรี่ของคนไทยแล้ว พบว่าในปี 2549 คนไทยสูบบุหรี่ 9.5 ล้านคน แต่เมื่อเทียบกับสถิติในปี 2550 แล้ว ไทยกลับสูบบุหรี่เพิ่มขึ้นถึงปีละ 10.8 ล้านคน ซึ่งเป็นสถิติที่น่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง
ที่น่าแปลกใจก็คือ ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีมาตรการควบคุมยาสูบที่ค่อนข้างครบวงจร ตั้งแต่ การห้ามโฆษณา การพิมพ์คำเตือนเป็นรูป การขยายเขตคุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ในที่สาธารณะ และการขึ้นภาษีเป็นระยะก็ตาม… แต่จากผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติบ่งบอกว่า ประเทศไทยยังติดอันดับที่ 5 ใน 10 ประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีผู้สูบบุหรี่มากที่สุด สูงถึง 10.8 ล้านคน โดยแบ่งเป็นเพศชาย 10.3 ล้านคน คิดเป็น 41.70% เพศหญิง 0.51 ล้านคน คิดเป็น 1.94 %
ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อมีจำนวนผู้สูบสูงขึ้นเท่าไร จำนวนผู้เสียชีวิตก็ย่อมสูงตามไปด้วยเช่นกัน เพราะจากการสำรวจของมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ พบว่า บุหรี่คร่าชีวิตคนไทยไปแล้วกว่าปีละ 42,000 คน คิดเป็น 115 คนต่อวัน เฉลี่ยชั่วโมงละ 4.7 คน โดยโรคยอดฮิตที่ทำให้คนเราตายเพราะบุหรี่ อันดับที่ 1 เป็นโรคถุงลมโป่งพอง 10,427 คนต่อปี อันดับที่ 2 โรคมะเร็งปอด 9,979 คนต่อปี อันดับที่ 3 คือโรคหัวใจและโรคหลอดเลือด 9,707 คนต่อปี อันดับที่ 4 โรคอื่นๆ 7347 คนต่อปี ส่วนอันดับที่ 5 คือโรคมะเร็ง 6,340 คนต่อปี ทั้งนี้ จะเป็นโรคอะไรนั้นขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการสูบของแต่ละคนด้วย
ส่วนวัยที่น่าเป็นห่วงที่สุดเห็นทีจะเป็น “เด็กและเยาวชนไทย” เพราะล่าสุดมีการสำรวจพบว่าเยาวชนที่สูบบุหรี่มีจำนวนสูงถึง 1,605,211 คน ที่สำคัญเมื่อมองถึงตัวเลขของผู้ที่เริ่มสูบบุหรี่แล้ว นับวันตัวเลขยิ่งลดลงจนน่าใจหาย ล่าสุดพบเยาวชนที่สูบบุหรี่อายุน้อยที่สุดเพียง 13 ปีเท่านั้น อีกทั้งการสูบบุหรี่ยังเป็นต้นตอทำให้เยาวชนดื่มสุราสูงถึง 88% เที่ยวกลางคืนอีก 68% มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรถึง 67% เล่นการพนันถึง 40% และใช้ยาเสพติดสูงถึง 17 % ถือเป็นเรื่องที่ควรเร่งแก้ไขเป็นการเร่งด่วน เพราะหากปล่อยโดยไม่ได้รับการแก้ไข จำนวนนักสูบหน้าใหม่เหล่านี้ อาจจะเพิ่มมากขึ้นจนส่งผลให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมาอีกมากมายก็เป็นได้
แต่สำหรับในรายที่สูบจนถึงขั้นที่เรียกว่า “ติด” คิดอยากที่จะเลิกแต่ “เลิกไม่ได้” ทำแล้วใจไม่แข็งพอก็ต้องกลับไปสูบใหม่ ที่ยังเป็นแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะภายในบุหรี่มีสารที่เรียกว่า “นิโคติน” ผสมอยู่ ซึ่งในวงการแพทย์นานาชาติถือว่า สารชนิดนี้เป็นสารเสพติดที่มีฤทธิ์สั่งการให้สมองเกิดอาการอยากสูบ หากได้รับนิโคตินเพิ่มขึ้นๆ ก็เท่ากับเป็นการรับสิ่งตอกย้ำเข้าสู่ร่างกายอย่างร้ายแรงเพิ่มขึ้น เพราะด้วยความสามารถเฉพาะตัวที่หาสารชนิดอื่นเทียบได้ยากของ “เจ้าสารนิโคติน” ที่สามารถเข้าสู่สมองได้อย่างรวดเร็วภายใน 7 วินาทีที่สูด-อัดเข้าไปในร่างกาย ซึ่งเร็วกว่าการฉีดเฮโรอีนเข้าเส้นเลือดเสียอีก และเมื่อไรที่ได้รับสารนิโคตินเข้าสู่ร่างกายถึง 60 มิลลิกรัมในครั้งเดียว จะทำให้เสียชีวิตได้ในทันที …แต่หากรับเข้าสู่ร่างกายเรื่อยๆ แบบสะสมมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งสูงตามมาด้วยเช่นกัน
อีกทั้งหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ในขณะนี้ชี้ชัดว่า บุหรี่เป็นแหล่งของสารก่อมะเร็งที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ที่มีโอกาสสัมผัสได้ เพราะโดยทั่วไปแล้วสารก่อมะเร็งที่เราได้รับจากภายนอกไม่ว่าจะเป็น เชื้อราอัลฟาท็อกซินในถั่ว การติดเชื้อไวรัสบางชนิด สารที่เจือปนมากับอาหาร สารเคมีจากโรงงาน สารกัมมันตภาพจากแสงแดด หากนำสารทั้งหมดนี้มารวมกันแล้ว จำนวนสารก่อมะเร็งก็ยังถือว่าน้อยกว่าในบุหรี่เสียอีก…
ใครว่าหมดเท่านี้…นอกจากนิโคตินและสารก่อมะเร็งที่เป็นอันตรายต่อร่างกายแล้ว ในบุหรี่ 1 มวน เมื่อเกิดการเผาไหม้จะทำให้เกิดสารเคมีมากกว่า 4,000 ชนิด และยังมีกว่า 60 ชนิดที่เป็นสารก่อมะเร็ง ไม่ว่าจะเป็น ทาร์ สารเคมีที่จะจับตัวอยู่ที่ปอดทำให้หลอดลมไม่สามารถทำงานได้ปกติ คาร์บอนมอนนอกไซด์ เป็นก๊าชนิดเดียวที่พ่นออกมาจากท่อไอเสียผู้ที่ได้รับสารนี้ร้อยละ 10-15 จะทำให้หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ไฮโดรเจนไดออกไซด์ เป็นก๊าซที่ก่อให้เกิดการไอ หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ไนโตรเจนไดออกไซด์ เป็นสาเหตุของโรคถุงลมโป่งพอง และสารไซยาไนด์ที่ปกติจะพบในยาเบื่อหนูแต่ก็พบสารนี้ในบุหรี่เช่นกัน
ปัจจุบันบริษัทบุหรี่ต่างชาติมากมาย พยายามเร่งหากลวิธีในการเจาะตลาด โดยเฉพาะเยาวชนด้วยการแต่งกลิ่นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรสผลไม้หรือเมลทอล ที่ให้ผู้สูบรู้สึกว่าตนเองได้รับสารพิษในปริมาณที่น้อย แต่นั่น…เป็นความเชื่อที่ผิด จริงอยู่ที่สารแต่งกลิ่นต่างๆ ไม่ใช่สารก่อมะเร็ง และในการแต่งกลิ่นจำเป็นต้องลดปริมาณนิโคตินลง เพื่อทำให้เวลาสูบแล้วรู้สึกเย็นคอ อร่อย ซึ่งนั่น…กลับยิ่งทำให้ผู้สูบสามารถสูบเข้าไปได้ลึกและอัดควันให้อยู่ในปอดได้นานยิ่งขึ้น ส่งผลให้สารก่อมะเร็งที่มีอยู่ในบุหรี่แต่ละตัว อยู่และตกค้างในปอดได้นานมากขึ้น แน่นอนย่อมต้องส่งผลเสียต่อสุขภาพตามมา…
ไม่เพียงแค่นั้น การสูบบุหรี่นอกจากจะทำลายสุขภาพของผู้สูบแล้ว “เงินจำนวนมหาศาล” ก็ยังจมหายไปพร้อมกันด้วย เพราะจากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าคนไทยเสียค่าใช้จ่ายในการบุหรี่เฉลี่ยต่อคน วันละ 11 บาท เท่ากับว่า คนไทยเสียค่าใช้จ่ายในการซื้อบุหรี่เป็นจำนวน 118.8 ล้านบาทต่อวัน และ 1 ปี ต้องเสียค่าบุหรี่ถึง 43,362 ล้านบาท แถมในบางรายยังต้องเสียค่ารักษาพยาบาลเฉพาะ 3 โรคหลักไปกว่า 46,000 ล้านบาทต่อปีเลยทีเดียว ดังนั้น คำว่า ยิ่งสูบ – ยิ่งจน ก็ยังคงใช้ได้ เพราะเมื่อคุณสูบมากเท่าไรคุณก็จะเพิ่มค่าใช้จ่ายมากเท่านั้น
ลองคิดดูว่า คุ้มกันไหม??? กับสิ่งที่คุณต้องสูญเสียไป ทั้งสุขภาพดีๆ เงินทอง เพื่อแลกกับสิ่งที่คุณให้เหตุผลว่า ที่สูบบุหรี่เพราะ “เครียด”
ถึงเวลาแล้วที่คุณควรหยุด! ทำร้ายตนเองและคนที่รัก รวมถึงคนรอบข้างด้วยควันบุหรี่
เรื่องโดย: ณัฏฐ์ ตุ้มภู่ www.thaihealth.or.th
Update: 28-10-52
อัพเดทเนื้อหาโดย: ณัฏฐ์ ตุ้มภู่