‘บุหรี่’ ทำเงินไหลไป…ดึงโรคร้ายเข้าตัว
ตัวทำลายเศรษฐกิจ ครอบครัว และตัวเองด้วย
กระทรวงการคลังออกกฎกระทรวงประกาศขายบุหรี่ราคาใหม่อย่างเป็นทางการแล้ว ตั้งแต่บัดนี้ (14 พ.ค.52) เป็นต้นไป ราคาขายบุหรี่ในประเทศปรับขึ้นสูงสุดไม่เกินซองละ 13 บาท ส่วนบุหรี่ ต่างประเทศปรับขึ้นไม่เกินซองละ 17 บาท
เช้ามืดวันที่ 15 พ.ค. 2552 สื่อมวลชนออกสำรวจการซื้อขายบุหรี่ ก็ปรากฏว่าบุหรี่ไทยขึ้นราคาไปเฉลี่ยราคา 60 บาทต่อซอง ขึ้นไป 11 บาท (เดิมราคา 49 บาท) บุหรี่ฝรั่งราคาใหม่เกือบร้อยบาทแล้ว
ราคาบุหรี่เดิมนั้นคร่าชีวิตคนไทยไปมากมายมหาศาล ปีละประมาณ 4 หมื่นคน หรือว่ากันว่าตกวันละ 4 คน ข้อมูลนี้น่าจะไปหาดูได้ในเว็บไซต์ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ไม่ใช่เพราะคนแอบอดข้าวอดอาหารเอาเงินไปซื้อบุหรี่สูบแล้วตาย อดตายนั่นจำนวนหนึ่ง แต่ที่ตายเพราะสูบบุหรี่ก็คือจำนวนดังกล่าว
ในจำนวน 40,000 คน/ปีที่ตาย เพราะสูบบุหรี่เฉลี่ยน่าจะถึงวันละ 2 ซอง/วัน ตกวันละ 100 บาท เสียเงินวันละ 400,000 บาท ถ้าคูณจำนวนเดือน จำนวนปี ก็นับตัวเลขไม่หวาดไม่ไหว และนั่นคือตัวเลขจริงๆ ตัวเงินที่ออกมาจากกระเป๋าคนไทยสิงห์อมควันที่โดนดูดเข้ากระเป๋าพ่อค้าผู้ผลิต
ที่ตายเพราะสูบบุหรี่ไม่เท่าไหร่ ตายแล้วเผาจบกันเสียเงินครั้งเดียวค่าสวดค่าเมรุ แต่ที่ยังไม่ตายนอนพะงาบๆ ทั้งทรมานตัวเอง ทั้งทรมานคนรอบข้างในครอบครัว ทรมานตั้งแต่การเสียเวลามาคอยเฝ้าดูแลไม่เป็นอันต้องทำมาหากิน ทรมานในการหาเงินมารักษาพยาบาล
ทั้งๆ ที่รู้ว่ายังไงก็ไม่มีทางหายกลับมาเป็นปกติ หาเงินมารักษา ทั้งๆ ที่สิงห์อมควันนั้นไม่ก่อประโยชน์แก่ครอบครัวแล้ว มีแต่จะเพิ่มความเดือดร้อนแต่ทุกคนก็ห่วงด้วยความรัก ทั้งๆ ที่สิงห์อมควันคนนั้นไม่เคยคิดถึงใครเลย ไม่รักไม่ห่วงใครทั้งสิ้น คิดถึงแต่ตัวเอง ตรงนั้นต้องสูญเสียเงินอีกมากมายมหาศาลกว่าการลงทุนซื้อบุหรี่สูบหลายสิบหลายร้อยเท่า
การทำลายเศรษฐกิจ ตัวเอง ครอบครัวและสังคม ด้วยสิงห์อมควัน 1 คนไม่ใช่แค่เพียงเท่านี้ มีอีกพะเรอเกวียน แค่เท่านี้ก็นับกันไม่หมดแล้ว ครอบครัวเดือดร้อน ไม่รู้ว่าจะบรรยายยังไงหมด
วันนี้สิงห์อมควันต้องเก็บเงินซื้อบุหรี่สูบเพิ่มอีกซองละถัวเฉลี่ย 15 บาท (คละทั้งบุหรี่ไทย – เทศ) ราคาบุหรี่ 1 ซอง กินข้าวได้ 2 มื้อ/คน หรือมื้อละ 2 คน หรือถ้าซื้อสิ่งของไปทำเองที่บ้านมีสิทธิ์กินกันได้ทั้งครอบครัวและอาจเกิน 1 มื้อด้วย แต่สิงห์อมควันเอาไปซื้อบุหรี่เสพสุขเพียงผู้เดียว คราวนี้ไม่ใช่จะตายแค่ตัวสิงห์อมควันวันละ 4 คน/วัน แต่จะมีคนในครอบครัวตายเพิ่ม เพราะอดตายเข้าจริงๆ
การขึ้นภาษีสรรพสามิตแม้รัฐบาลจะได้ประโยชน์ ถ้าการเสพการสูบยังอยู่ในระดับเดิมรัฐจะมีรายได้ 70,000 – 80,000 บาท/ปีก็ตาม แต่รัฐก็ไม่ได้ชื่นชมในคุณงามความดีของคอเหล้า – สิงห์อมควันแต่อย่างใดว่าเป็นผู้เสียสละ กลับประณามด้วยซ้ำไปว่าเป็นคนบาป เพราะเขาเรียกภาษีนั้นว่าภาษีบาป
สิงห์อมควัน – คอเหล้าจึงน่าจะอาศัยจังหวะนี้หยุดการเป็นคนบาป ละเลิกกันซะในทันที รักษาชีวิตตัวเองรักษาชีวิตคนในครอบครัวด้วยเงินจำนวนไม่มากนักนี่แหละแต่มีคุณอนันต์เหลือเกินกับตัวเองครอบครัวแล้วก็ประเทศชาติ
มีข้อแนะนำมาจากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เพิ่มเติมว่านอกจากให้ตระหนักถึงการรักษาสุขภาพเศรษฐกิจในครัวเรือนแล้ว ประชาชนต้องรักษาสุขภาพตัวเองโดยการลดการดื่มสุราและสูบบุหรี่ เพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่อาจระบาดเข้ามาในประเทศไทยนั้น ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธณกิจ เลขาธิการ มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่าเป็นเรื่องที่ควรปฏิบัติตามเนื่องจากการศึกษาแล้วพบว่า คนที่สูบบุหรี่จะติดเชื้อไข้หวัดง่ายกว่าคนไม่สูบบุหรี่
ศ.นพ.ประกิตกล่าวว่า การดื่มสุราและการสูบบุหรี่ทำให้ภูมิต้านทานร่างกายลดลง ทำให้เกิดการติดเชื้อง่ายและการติดเชื้อเมื่อเกิดแล้วจะรุนแรงกว่าคนปกติ ผู้ที่เป็นไข้หวัดใหญ่ แล้วมีโอกาสเสียชีวิตสูง คือ ผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัว โรคถุงลมโป่งพอง คนที่สูบบุหรี่ โรคไต โรคเบาหวาน และเด็กเล็ก
ดังนั้น ต้องเลิกสูบบุหรี่แล้วต้องไม่สูบบุหรี่ใกล้เด็กเล็กด้วย ศ.นพ.ประกิตเน้น
ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ
Update 21-05-52
อัพเดทเนื้อหาโดย : กันทิมา ลีจันทึก