บิล เกตต์ ชมไทยเจ๋งจัดการปัญหาบุหรี่
หมอประกิตเผย บิล เกตต์ยกไทย ต้นแบบใช้นโยบายภาษียาสูบ ปกป้องคนที่จะกลายเป็นนักสูบหน้าใหม่ และสามารถลดจำนวนผู้สูบหน้าเดิมลง แถมทำรัฐมีรายได้เพิ่ม
ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ เปิดเผยรายงานของ บิล เกตต์: นวัตกรรมที่ส่งผลกระทบ นโยบายการเงินเพื่อการพัฒนาสำหรับศตวรรษที่ 21 ที่ได้รับเชิญให้เสนอต่อที่ประชุมซัมมิท ผู้นำประเทศ จี 20 ครั้งที่ 6 ที่เมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศส เกี่ยวกับตลาดการเงินและเศรษฐกิจของโลกเมื่อเร็วๆ นี้ โดยหนึ่งในข้อเสนอของบิล เกตต์ คือให้ประเทศ จี 20 ขึ้นภาษียาสูบและบริจาคเงินส่วนหนึ่งเพื่อสนับสนุนประเทศยากจน ในด้านการป้องกันและควบคุมโรค
ทั้งนี้การบริจาคเงินเพื่อทำให้ประชาชนในประเทศยากจนมีภาวะสุขภาพดีขึ้น เป็นเรื่องจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศยากจนซึ่งจะส่งผลต่อเศรษฐกิจโลก และประเทศ จี 20 ไม่ควรจะลดระดับการช่วยเหลือประเทศที่ยากจนลง แม้ว่าขณะนี้เศรษฐกิจโลกจะอยู่ในสภาวะถดถอยก็ตาม
บิล เกตต์ เห็นว่าภาษียาสูบได้ประโยชน์ ทั้งทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้น ทำให้คนสูบน้อยลงหรือเลิกสูบ และป้องกันคนที่จะติดใหม่ โดยยกตัวอย่างประเทศไทยที่ใช้นโยบายขึ้นภาษีระหว่าง พ.ศ.2537 ถึง พ.ศ.2550 ทำให้เก็บภาษีได้เพิ่มขึ้นจากเดิมสองเท่าแม้ว่าจำนวนผู้สูบบุหรี่จะลดลง
บิล เกตต์ ยังสนับสนุนข้อเสนอขององค์การอนามัยโลกที่ให้ประเทศต่างๆ ขึ้นภาษียาสูบให้ภาระภาษีเท่ากับร้อยละ 70 ของราคาขายปลีก ทั้งนี้ประเทศ จี 20 ซึ่งมีภาษียาสูบเฉลี่ยขณะนี้อยู่ที่ร้อยละ 55 หากมีการขึ้นภาษีแล้วบริจาคเงินส่วนหนึ่งเพื่อช่วยเหลือประเทศยากจนด้านสุขภาพ ตามโครงการ solidarity tobacco contribution (stc) โดยหากประเทศที่มีรายได้สูง ขึ้นภาษียาสูบแล้วบริจาคเข้ากองทุนเพื่อช่วยเหลือประเทศยากจน ซองละ 10 เซ็นต์ ประเทศรายได้ปานกลางบริจาคซองละ 0.06 เซ็นต์และประเทศที่รายได้ปานกลางระดับล่างบริจาคซองละ 0.02 เซ็นต์ จะทำให้มีเงินที่จะบริจาครวม หนึ่งหมื่นแปดพันล้านดอลลาร์ต่อปีในการสนับสนุนการแก้ปัญหาสุขภาพของประเทศยากจนทั่วโลก
ศ.นพ.ประกิต กล่าวต่อไปว่า ระหว่าง พ.ศ.2537 ถึง 2552 รัฐบาลไทยมีการขึ้นภาษียาสูบรวม 9 ครั้ง ทำให้รายรับภาษีที่เก็บได้ 15,345 ล้านบาทในปี พ.ศ.2536 เพิ่มขึ้นเป็นเก็บได้ 57,196 ล้านบาท สำหรับปี พ.ศ.2554 หรือเพิ่มขึ้นปีละกว่า 3 เท่าตัว ในขณะที่จำนวนผู้สูบบุหรี่คงที่อยู่ที่ 11 ล้านคน ขณะที่การสำรวจครั้งล่าสุดเมื่อ พ.ศ.2552 มีคนไทยที่เลิกสูบบุหรี่แล้ว 6.3 ล้านคน และโรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่ซึ่งเป็นภาระโรคมากเป็นอันดับที่สองของคนไทย เมื่อ พ.ศ.2547 ลดลงมาเป็นภาระโรคลำดับที่สามในปี พ.ศ.2552 รองจากโรคเอดส์และโรคที่เกิดจากการดื่มสุรา
ที่มา: มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่