“บาธรูมดีไซน์”นักออกแบบความสุของค์กร

 

พวกเขา ใช้หลัก สมดุลเป็นพื้นฐาน ความสุขเป็นเป้าหมายและความรักเป็นตัวขับเคลื่อน จนสามารถเติบโตได้ ทั้ง “ยอดขาย” และ “ความสุข” เฟอร์นิเจอร์ห้องน้ำที่โดดเด่นล้ำสมัย ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีสุดไฮเทค คือ พลังสร้างสรรค์ของ “บาธรูมดีไซน์” ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์ภายในห้องน้ำ ที่พิสูจน์ด้วยรางวัลด้านการออกแบบระดับโลก กว่า 60 รางวัล ภายในระยะเวลาเพียง 5 ปี

ธุรกิจสร้างความอัศจรรย์ในตลาด สามารถขยับยอดขายและชื่อเสียงของพวกเขาให้เติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนถูกยอมรับในฐานะหนึ่งผู้ประกอบการไทยที่ประสบความสำเร็จในเวทีธุรกิจได้อย่างไร้ข้อกังขา ทว่าสิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือ “ความสุข” ที่ค่อยๆ งอกงามขึ้นในองค์กร และเติบโตไปพร้อมกับธุรกิจของพวกเขา จนกลายเป็นต้นแบบ“องค์กรแห่งความสุข” (happy workplace) ที่คนทำงานใฝ่ฝันถึง

“ความสุขเป็นสิ่งจำเป็นในการพัฒนากิจการของพวกเรา ความสุขในความคิดของพนักงานหรือพวกเราทุกคน สำคัญมากในการทำให้องค์กรประสบความสำเร็จ”

ถ้อยคำชวนคิดจาก “ดร.วัชรมงคล เบญจธนะฉัตร์” ประธานกรรมการ บริษัท บาธรูมดีไซน์ จำกัด ถูกแบ่งปันในเวทีสัมมนาวิชาการเครือข่ายองค์กรสุขภาวะ “happy workplace forum 3.1 ความสุขทุกสถานการณ์” จัดโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และภาคีภาครัฐ และเอกชน

บาธรูมดีไซน์ เริ่มสร้างความสุขในองค์กร เวลาเดียวกับที่เริ่มต้นธุรกิจเมื่อ ปี พ.ศ. 2538 ด้วยการยึดหลักคิดทางศาสนา มาบวกสิ่งที่เขาเรียกว่า “แผนที่ หรือ ของวิเศษ ของพ่อ” ที่ชื่อ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” จนเป็นเข็มทิศธุรกิจชั้นดี อย่าง สมดุลเป็นพื้นฐาน ความสุขเป็นเป้าหมาย และความรักเป็นตัวขับเคลื่อน ค่อยๆ ขยับเขยื้อนธุรกิจ

“หนึ่งเลยคือองค์กรต้องสมดุล ต้องรู้จักพึ่งพาตัวเอง ทำอะไรต้องโฟกัส ไม่ใช่ทำธุรกิจที่กำไรดีแต่ตัวเองไม่ถนัด และไม่ลงทุนสุดโต่ง ใช้ทรัพยากรในประเทศ การบริหารจัดการภายในต้องสมดุล ต้องปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลง และปฏิบัติต่อทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเรา (stakeholders) ด้วยความรัก”

การยึดหลัก “ให้ความรักต่อผู้อื่น” ทั้งลูกค้า คู่ค้า หรือแม้แต่พนักงาน เขาบอกว่า “ยิ่งให้ ยิ่งมีความสุข” และ “ยิ่งให้ ก็ยิ่งได้” องค์กรก็จะยิ่งเจริญเติบโตด้วย

“เรามองลูกค้า เหมือนคุณพ่อ คุณแม่ มองคู่ค้า เหมือนเป็นญาติ และมองพนักงาน เหมือนพี่ เหมือนน้อง”การให้ความสำคัญกับ “ทุนมนุษย์” ที่พวกเขาเรียกว่า “พี่-น้อง” คือ การทำให้พนักงานทุกคน สมดุลทั้งด้าน มูลค่า และคุณค่า

“ด้านมูลค่า คือ เขาต้องมีเงินเหลือ เงินได้ ไม่สำคัญเท่าเงินเหลือ เราจึงเริ่มจากศึกษารายรับเขา และหาทางลดรายจ่ายเพื่อให้มีเงินเหลือเพิ่ม”

ที่มาของโครงการอาหารกลางวันพนักงาน ที่ไม่ต้องลงทุนมหาศาล แต่แปลงที่ดินหลังโรงงาน มาเป็น นาชีวภาพ ปลูกข้าว ปลูกพืชผัก แล้วให้พนักงานสลับกันมาดูแล สิ่งที่ได้มากไปกว่าวัตถุดิบประกอบอาหารกลางวัน หรือ เหล่าพืชผักให้พนักงานหอบหิ้วกลับบ้าน ก็คือกุศโลบายสร้างความสามัคคีในองค์กร นั่นคือ ใครไม่ถูกกับใคร แผนกไหนไม่กินเส้นกัน ก็แค่จับมาทำนาด้วยกัน สุดท้ายก็จะกลับมารักกันเอง พวกเขาเชื่ออย่างนั้น

การลดภาระค่าใช้จ่าย ถูกทำควบคู่ไปกับการลดหนี้สินพนักงาน โดยการประสานกับธนาคารภาครัฐ ช่วยแปลงหนี้นอกระบบมาเป็นหนี้ในระบบ ดอกเบี้ยเหลืออยู่ที่ร้อยละ 0.5 พนักงานคนไหนใฝ่ดีอยากเรียนต่อ ถ้าทำงานมาครบสองปี และมีผลการทำงานที่ดี ก็จะพิจารณาให้ได้เรียนต่อ ทั้งระดับปริญญาตรี และปริญญาโท โดยไม่มีสัญญาผูกมัด ตลอดจนการให้ทุนการศึกษาบุตรพนักงาน ตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงปริญญาตรี “นี่เป็นการเพิ่มเงินในกระเป๋า และทำให้เขารู้สึกว่าเรารัก”

สำหรับด้าน “คุณค่า”เขาบอกว่า ต้องทำให้พนักงานเห็นคุณค่าในตัวเอง และให้เขาเห็นคุณค่าของผู้อื่น วิธีการที่ทำก็มีตั้งแต่ ในวันเกิดของพนักงาน ไม่ต้องมาทำงาน แต่สามารถหยุดพักผ่อนอยู่ที่บ้านหรือพาครอบครัวไปทำบุญได้ เพราะถือเป็นวันสำคัญของบริษัท และก่อนวันเกิดหนึ่งวัน จะมีเค้กให้คนละหนึ่งปอนด์ มีเพื่อนๆ มาร่วม แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ให้พร้อมจับฉลากของรางวัลเล็กๆ น้อยๆ ไม่แค่พนักงาน แม้แต่วันเกิดของพ่อแม่พนักงานก็จะมีการส่งการ์ดอวยพรไป พ่อแม่พนักงานคนไหนเสียชีวิต บริษัทจะซื้อถังสังฆทานมอบให้พนักงาน และนิมนต์พระมาเพื่อให้พนักงานได้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้พ่อและแม่ เดือนละครั้ง ไม่เว้นแต่วันครบรอบแต่งงาน ก็จะมอบช่อกุหลาบให้พนักงานไปให้คู่สมรสที่บ้าน คนไหนที่แต่งงานในโรงงานก็จะมอบให้กันหน้า morning talk

 “ตรงนี้สำคัญ เสียเงินไม่เท่าไร แต่ถ้าพนักงานในองค์กรมีครอบครัวอบอุ่น ประสิทธิภาพในการทำงานก็จะดีขึ้น” ยังไม่รวมกรณีเจ็บปวด ไม่สบาย หรือแม้แต่เสียชีวิต ก็พร้อมจะรับดูแลลูกๆ ของพนักงานจนจบปริญญาตรีทุกคนเวลาเดียวกันคือให้พนักงานเห็นคุณค่าของผู้อื่น โดยการให้ออกไปทำกิจกรรมจิตอาสานอกองค์กร

สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาเห็นคุณค่าผู้อื่น ผ่านการทำ csr ใน 6 มิติ คือ ชุมชน การศึกษา อาชีพ สิ่งแวดล้อม สาธารณสุข ศาสนา โดยไม่เน้นการให้เงิน แต่เน้นให้ความรัก และการมีส่วนร่วม ทริคง่ายๆ ที่พวกเขาใช้ คือ ให้ทุกวันพุธ เป็นวันสังคมสงเคราะห์ พนักงานสลับกันไปอย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง ใช้เพื่อช่วยงานสังคมสงเคราะห์ โดยไม่ต้องปิดโรงงาน แต่สิ่งที่ได้กลับมาจากการไปเห็นความทุกข์ของคนลำบาก คือพนักงานเห็นความงดงามของการให้ และเห็นคุณค่าในตัวของเขา

“เรามี “กองทุนพี่น้องบาธรูมช่วยสังคม” ที่พนักงานตั้งกันเอง พนักงานบริจาคเงินเข้ากองทุนเท่าไร บริษัทจะเติมให้อีกหนึ่งเท่า เพื่อทำบุญร่วมกัน เงินก้อนนี้เขาจะมาบริหารจัดการว่าจะเอาไปช่วยเหลือใคร จากที่เคยคิดว่า ฉันต้องได้อะไรจากบริษัท ต้องได้รับอะไรจากรัฐบาล หรือจากประเทศชาติ ตอนนี้เขาคิดใหม่ ว่าจะให้อะไรกับคนอื่นได้บ้าง”

นี่คือผลิตผลจากความรัก ที่เขาบอกว่า เป็นยาขนานเอกช่วยลดความเห็นแก่ตัวของคนลงได้ ก่อเกิดเป็นวัฒนธรรมองค์กรที่ดี ซึ่งทุกคนอยู่กันแบบพี่แบบน้อง มีน้ำจิตน้ำใจ มีความสุขจากการให้ และการแบ่งปัน นำมาสู่คุณภาพงานและความสำเร็จทางธุรกิจได้ในที่สุด ต้องให้อย่างสมดุล ตั้งแต่องค์กรต้องพึ่งพาตัวเองได้ แข่งขันได้ และต้องมีความสมดุลระหว่างการสร้างคนเก่งและคนดี และ คำว่ายั่งยืน คือ ต้องมั่นคง โดยต้องรักษาความสมดุลไว้ให้ได้ และอย่าตั้งเป้าหมายเป็นตัวเงินอย่างเดียว อย่าตั้งแต่ว่า “ตัวเลข ต้องโตเท่าไร” แต่ต้องตั้ง “ความสุขของคนในองค์กร” และแบ่งปันประโยชน์และความสุขไปสู่คนนอกองค์กรอย่างเท่าเทียมกัน

ความคิดดีๆ ของนักออกแบบองค์กรแห่งความสุข ที่ชื่อ “บาธรูมดีไซน์”

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

 

Shares:
QR Code :
QR Code