“บรรยากาศแห่งความรู้” ต้องเรียบง่าย-ลงตัว
เมื่อวันที่ 29 – 30 เมษายนที่ผ่านมา ผู้เขียนพร้อมเพื่อนภาคีเครือข่ายได้เข้าร่วมประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ “เวทีนักประเมินครั้งที่ 1″ ซึ่งจัดขึ้นโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม (สคส.) ณ คุ้มแม่น้ำท่าจีนหม่อมไฉไล จังหวัดนครปฐม
ซึ่งการจัดเวทีเป็นแบบเรียบง่าย บรรยากาศกันเอง ท่ามกลางธรรมชาติรอบข้าง ในห้องประชุมทางผู้จัดมิได้ตั้งเก้าอี้เรียงกันเป็นแถวดังเช่นทั่วไป แต่ตั้งเป็นแถวเดียวรูปตัวยู
ที่น่าสนใจคือ ตรงกลางแทนที่จะเป็นที่ว่างหรือเป็นไม้ประดับ กลับเป็นที่นอนพร้อมหมอนจำนวนเท่าผู้เข้าร่วมประชุมวางเรียงกันเป็นแถว
ทั้งนี้ผู้เขียนคิดว่าผู้เข้าร่วมที่มาจากหลากหลายภูมิภาคทั่วประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เพิ่งจะรู้จักตัวตนกันเป็นครั้งแรกในวันนั้น คงแปลกใจไม่น้อยเช่นกันกับผู้เขียน
ด้วยความน่าสนใจที่เกิดขึ้น ผู้เขียนอดมิได้ที่จะต้องขออนุญาตนำเสนอในเวทีสาธารณะแห่งนี้ เพราะผลลัพธ์ที่เกิดภายหลังจากการประชุมด้วยกระบวนการที่เรียบง่ายและลงตัว ได้กระตุกแนวคิดของผู้เขียนในบางแง่มุม จนคิดว่าน่าจะนำเสนอในประเด็นที่มองว่าเรียบง่ายลงตัว แล้วนำมาซึ่งบรรยากาศแห่งความรู้อย่างน่าทึ่ง เผื่อว่าบางทีหลายหน่วยงานอาจจะนำไปปรับใช้ในการจัดประชุมได้เป็นอย่างดี
ซึ่งประเด็นที่น่าสนใจ อาทิ
1) “ไม่เน้นรูปแบบ” การจัดห้องประชุมที่บ่อยครั้งเรามักจะเห็นการจัดโต๊ะประชุมเรียงแถวซ้อนกัน จากนั้นระดมคนมาเข้าร่วมประชุมโดยเน้นเอาจำนวนเข้าว่า ซึ่งผลลัพธ์มักจะมีคนจำนวนมากที่มานั่งหลับบ้างตื่นบ้างในห้องเดียวกัน เพื่อรอรับเบี้ยประชุมตอนกลับโดยที่แทบจะไม่มีใครเข้าใจเลยว่าประเด็นในการประชุมคืออะไร
แต่เชื่อไหมว่า ในห้องประชุมที่เต็มไปด้วยที่นอนและหมอน ที่ใครก็สามารถลงไปนั่งไปนอนได้ตอนเวลานั้น ไม่มีใครคิดอยากจะนอนจริงๆ เลย แต่กลับเป็นเครื่องมือที่ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด ลดท่าที และลดช่องว่างระหว่างกันได้เป็นอย่างดี
ทำให้ผู้เข้าร่วมประชุมรู้สึกคุ้นเคยกันภายในช่วงระยะเวลาอันสั้น ทำให้เราทั้งหลายเปิดเผยและไว้เนื้อเชื่อใจกันมามากขึ้น นำมาซึ่งการพูดคุยอย่างตรงไปตรงมา จริงใจ และปรารถนาดีต่อกัน
2) “ทุกคนคือวิทยากร” ผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนต่างผลัดกันเป็นตัวแสดง โดยที่ไม่มีใครยืนเด่นหรือเป็นตัวเอกเพียงผู้เดียว ทำให้แนวความคิดของแต่ละคนถูกแง้มออกมาทีละน้อย แล้วสานเรียงร้อยกันในทุกขณะ โดยในช่วงแรกรอยต่อทางความคิดอาจจะยังไม่สนิท เพราะความแตกต่างด้านทักษะและประสบการณ์ที่แต่ละคนมี
แต่เมื่อทุกคนรู้ว่าความสามารถภายในของตนเองมีความสำคัญและมีคนตั้งใจฟัง ความแตกต่างที่มีนั้นกลับเป็นตัวเชื่อมสมานที่ดีระหว่างกันและกัน
จนในที่สุดความแตกต่างกลับเป็นจุดเชื่อมโยงตาข่ายที่แต่ละคนเรียงร้อยกันอย่างเข้มแข็ง ภายในไม่กี่ชั่วโมง เมื่อรอยต่อถูกแต่งให้เนียนขึ้น การแลกเปลี่ยนก็ดำเนินไปอย่างเป็นธรรมชาติที่ทุกคนปันพื้นที่และเปิดเผยตัวตนของตัวเอง
ดังนั้น ทุกคนที่เข้าร่วมประชุมต่างก็เป็นวิทยากรให้แก่กันและกันโดยตลอด
3) “ไม่มีความรู้หนึ่งใดเป็นที่ตั้ง” ความรู้ที่เกิดขึ้นนั้น เป็นความรู้ที่เติมเต็มกันและกันจากประสบการณ์ของแต่ละคนที่ประสบมาในชีวิตจริง มิใช่การเรียนรู้ในทางทฤษฏีหรือเชิญผู้เชี่ยวชาญมาบรรยาย ที่มีความรู้หนึ่งเดียวเป็นตัวตั้ง ซึ่งบ่อยครั้งการสร้างความรู้โดยเอาความรู้ใดความรู้หนึ่งนำเช่นนั้นมิสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ในสถานการณ์จริง
แต่การกระตุ้นให้ผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนเชื่อมั่นในศักยภาพของกันและกัน โดยมองว่าความรู้มีอยู่ในทุกตัวคน เป็นความรู้ที่หลากหลาย ที่แต่ละคนต่างก็มีประสบการณ์มาคนละมุม
เมื่อดึงเอาความรู้ที่มีอยู่ในตัวของแต่ละคนนั้นออกมา การแปะทับจุดบอดระหว่างกันจึงเกิดขึ้น ก่อให้เกิดกระบวนการสร้างความรู้ที่รวดเร็ว สามารถนำไปใช้ประโยชน์และปฏิบัติได้จริง ด้วยเพราะวิถีชีวิตของมนุษย์มีความรู้ที่ทับซ้อนกัน การใช้ประโยชน์จึงต้องอาศัยความรู้โดยรอบมิใช่ด้านใดด้านหนึ่งที่แบ่งแยกออกมาได้
4) “ความแตกต่างมิใช่เรื่องไร้สาระ” ในเวทีการแลกเปลี่ยนเวทีใดก็ตาม หากมีกระบวนการที่ทำให้ผู้เข้าร่วมยอมเปิดใจรับความแตกต่างระหว่างกัน ถือว่าเวทีนั้นประสบความสำเร็จในระดับดียิ่งเป็นเบื้องต้น เพราะความแตกต่างจะนำมาซึ่งการเรียนรู้ระหว่างกันได้ดีที่สุด
ทั้งนี้เพราะผู้เขียนเชื่อว่า “ความแตกต่างคือความรู้ ความรู้คือความแตกต่าง”
การสร้างภาพทางความคิดของแต่ละคนที่กระจัดกระจายไม่เป็นเนื้อเดียวกันนั้น มิใช่ว่าความคิดที่เกิดขึ้นจะไม่สามารถเข้ากันได้ หากแต่ภาพแต่ละภาพ ความคิดแต่ละความคิด กำลังหารอยต่อระหว่างกันเพื่อเชื่อมร้อยความแตกต่างนั้นเข้าด้วยกัน
เพราะฉะนั้นหากในช่วงของการ “ค้นหาทางความคิดถูกทำลายด้วยกรอบเพราะว่าแตกต่าง แสงสว่างที่ปลายทางย่อมถูกปิดลง สุดท้ายความอลหม่านด้วยตัวตนก็จะถูกแทนที่ความแตกต่างก็จะกลายเป็นสัญลักษณ์ของการยอมรับไม่ได้ เมื่อถึงเวลานั้น การพูดเรื่องเดียวกันจะกลายมาเป็นสิ่งที่นำไปสู่ความขัดแย้งได้สูงยิ่ง
5) “เปิดเผยเสียงข้างใน” กระบวนการเปิดเผยตัวตนของแต่ละคนในขั้นตอนสุดท้าย (after action review :
ซึ่งมรรคผลที่เกิดขึ้นจะมีทั้งในระดับตัวตนของผู้เข้าร่วมประชุมที่มองเห็นตัวเองในผู้อื่น และหน่วยงานที่จัดการประชุมที่จะสามารถนำไปใช้ได้ในครั้งต่อไป มากกว่าการดำเนินการผ่านแบบประเมินหรือแบบสอบถามที่มักจะถูกนำไปใช้แค่ในรายงานผลการดำเนินงานจากนั้นก็ลืมเลือนกันไป
จากการประชุมในครั้งนี้สิ่งที่ผู้เขียนได้เรียนรู้อย่างสำคัญยิ่งคือ บรรยากาศแห่งความรู้มิได้อยู่ที่จำนวนผู้เข้าร่วมประชุม ความยิ่งใหญ่ อลังการ ความเป็นระเบียบ หรืองบประมาณที่สูง
หากแต่อยู่ที่ความเรียบง่ายและความลงตัวทั้งในด้านผู้เข้าร่วมและประบวนการแลกเปลี่ยนโดยความรู้ที่เกิดขึ้นนั้น เป็นความรู้ที่ผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนช่วยกันเสริมเติมแต่งระหว่างกันและกัน
ทำให้ความรู้ที่ได้มีคุณค่าทั้งในทางปฏิบัติและในทางการจัดการ เพราะทุกคนได้มองเห็นซึ่งกันและกัน เห็นทิศทางการทำงาน และได้เสริมพลัง (empowerment) ให้แก่กัน มากกว่าจะเป็นความรู้ที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งคิดว่านั่นคือ ความรู้แล้วนำไปใส่ในที่ประชุม สุดท้ายก็เสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลา โดยแทบจะหาผลของความรู้ที่ว่านั้นไม่เจอเลย
ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน
update 12-05-52