น้ำ-อาหารปนเปื้อน เหตุป่วยอุจจาระร่วง

/data/content/24573/cms/e_gikmnpx26789.jpg


          สธ.พบผู้ป่วยอุจจาระร่วงจากน้ำ อาหารปนเปื้อนปีละกว่า 1 ล้านราย เพิ่มการตรวจสอบการปนเปื้อนน้ำจากแหล่งขยะ ไหลลงน้ำอุปโภคบริโภค


          เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. 57 นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ในวันที่ 5 มิ.ย.ของทุกปี องค์การสหประชาชาติได้กำหนดให้เป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก (World Environment Day) เพื่อให้ทุกประเทศ ตื่นตัวและตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี และมีความปลอดภัยต่อสิ่งมีชีวิตทั้งมวล โดยในปีนี้เน้นการรณรงค์ เรื่อง "ยกระดับความคิดแก้วิกฤติน้ำท่วมโลก" (Raise your voice not the sea level) เนื่องจากน้ำเป็นปัจจัยดำรงชีวิต คนทั่วโลกต้องใช้ในการอุปโภคบริโภค หากน้ำมีความสะอาดจะส่งผลให้ชีวิตของประชาชนแข็งแรง ไม่เจ็บป่วย ในทางตรงกันข้าม หากน้ำที่ประชาชนอุปโภคบริโภคมีสิ่งแปลกปลอม เชื้อโรค หรือสารเคมีปนเปื้อนอยู่ในน้ำ จะส่งผลต่อสุขภาพประชาชน


          การเจ็บป่วยที่เป็นผลกระทบที่เห็นได้ง่ายและเร็วที่สุด จากปัญหาน้ำและอาหารไม่สะอาด คือ โรคอุจจาจาระร่วง สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค รายงานตลอดในปี 2556 ทั่วประเทศป่วยจำนวน 1,130,763 ราย เสียชีวิต 13 ราย ซึ่งกลุ่มที่มีอัตราการป่วยมากที่สุด คือ ผู้สูงอายุ ส่วนปีนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 2 มิ.ย. 2557 พบผู้ป่วยแล้ว 490,769 ราย เสียชีวิต 5 ราย โดยกลุ่มผู้สูงอายุยังเป็นกลุ่มที่มีอัตราการป่วยมากที่สุดเช่นเดิม จะเห็นได้ว่าอาหารและน้ำดื่มที่มีการปนเปื้อน มีผลกระทบต่อปัญหาสุขภาพของประชาชนอย่างมาก โดยสาเหตุส่วนหนึ่งเป็นผลมากจากปัญหาการจัดการขยะมูลฝอยที่ไม่ถูกต้อง เช่น เทกองกลางแจ้ง ซึ่งหากมีปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่จะยากต่อการควบคุม และสถานที่ที่มีการกำจัดขยะยังใช้วิธีเผาในที่โล่งมากถึงร้อยละ 81 ส่วนตามบ้านเรือนยังไม่มีระบบการแยกขยะมีพิษออกจากขยะที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ หรือทิ้งขยะลงแม่น้ำลำคลอง ส่งผลให้สิ่งปนเปื้อนและเชื้อโรคจากขยะเหล่านั้น แพร่กระจายไปยังพื้นที่ต่างๆ เช่น แม่น้ำ ผิวดิน อากาศ จึงต้องให้ความสำคัญในเรื่องการจัดการขยะให้ถูกวิธีเพื่อลดผลกระทบต่อประชาชน


          ทั้งนี้ ผลจากการสำรวจปี 2556 ของกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทั่วประเทศมีขยะมูลฝอยมากเกือบ 27 ล้านตัน ขยะเหล่านี้ถูกนำไปกำจัดอย่างถูกต้อง 7.2 ล้านตัน คิดเป็นร้อยละ 27 กำจัดแบบไม่ถูกต้อง 6.9 ล้านตัน คิดเป็นร้อยละ 26 มีปริมาณขยะมูลฝอยตกค้างในพื้นที่ 7.6 ล้านตัน คิดเป็นร้อยละ 28 อัตราการผลิตขยะต่อคนต่อวันเพิ่มขึ้นจากคนละ 1.03 กิโลกรัม ในปี 2546 เป็น 1.15 กิโลกรัมต่อคนต่อวัน และยังพบการลักลอบทิ้งขยะอุตสาหกรรม เครื่องใช้ไฟฟ้าจากชุมชน โดยเป็นซากเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ร้อยละ 65 อีกร้อยละ 35 เป็นประเภทแบตเตอรี่ หลอดไฟ ภาชนะบรรจุสารเคมี ระบบการจัดการที่มีอยู่ยังไม่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากทิ้งปนกับขยะทั่วไป ได้มอบหมายให้กรมอนามัยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการสร้างความปลอดภัยในเรื่องนี้


          ทางด้าน นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ในการแก้ปัญหาขยะล้นเมือง รวมทั้งปัญหาไฟไหม้กองขยะที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปีนี้กรมอนามัยได้กำหนดมาตรการดำเนินการไว้ 5 ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย


          1.ส่งเสริมให้แยกทิ้งขยะประเภทที่นำกลับไปใช้ได้ใหม่ เช่น กระดาษ พลาสติก แก้ว โลหะ แยกขยะที่นำไปใช้ประโยชน์ทางการเกษตรได้ เช่น เศษอาหาร เศษผักผลไม้ เพื่อเป็นการลดปริมาณขยะที่ต้องกำจัดลงได้มาก


          2.การเพิ่มการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อสนับสนุนการแยกทิ้งขยะ โดยจะออกกฎหมายตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ.2535 ให้ท้องถิ่น หรือเทศบาล เพิ่มการเก็บค่าธรรมเนียม ให้มากกว่าปัจจุบันที่เก็บเพียงบ้านละ 40 บาทต่อเดือน เพื่อนำเงินส่วนที่ได้ไปกำจัดขยะให้ถูกต้อง ขณะนี้กรมอนามัยได้จัดทำร่างกฎหมายเสร็จเรียบร้อยแล้ว พร้อมนำเสนอรัฐบาลชุดใหม่ทันที


          3.สนับสนุนให้ท้องถิ่นมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้วิธีการจัดการขยะให้ถูกสุขลักษณะ และใช้งบประมาณให้มีประสิทธิภาพ


          4.การควบคุมตรวจสอบการกำจัดขยะอย่างจริงจัง เพื่อป้องกันการลักลอบทิ้งขยะพิษจากอุตสาหกรรม ปะปนรวมกับขยะจากบ้านเรือน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นขยะอินทรีย์


          และ 5.การดำเนินการจัดการกองขยะที่ยังตกค้างในแหล่งกำจัดขยะ ซึ่งมีประมาณร้อยละ 80 ของกองขยะทั่วประเทศ โดยกรมอนามัยจะดำเนินการตรวจสอบ หากพบว่ามีการปนเปื้อนสู่สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะแหล่งน้ำบาดาล น้ำผิวดิน และลำคลอง จะเสนอเจ้าของพื้นที่ หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดำเนินการฝังกลบและพัฒนาปรับให้เป็นพื้นที่สะอาด ใช้เป็นสถานที่พักผ่อนของประชาชนอีกทางหนึ่ง เช่นเดียวกับที่หลายประเทศใช้ เช่น เกาหลีใต้ โดยจะทำเป็นเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้มีผลในทางปฏิบัติโดยเร็ว


          นพ.พรเทพ กล่าวต่อว่า สำหรับการจัดการขยะติดเชื้อที่มาจากสถานบริการการสาธารณสุขทั้งสัตว์และคน ที่มีปีละประมาณ 50,481 ตัน โดยร้อยละ 75 มาจากโรงพยาบาลรัฐและเอกชนขนาดใหญ่ ซึ่งโรงพยาบาลจะมีงบประมาณในการบริหารจัดการ และมีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนในการจัดการมูลฝอยติดเชื้อตามกฎกระทรวงว่าด้วยการกำจัดมูลฝอยติดเชื้อ พ.ศ. 2545 อยู่แล้ว ตามมาตรฐานการประเมินและรับรองคุณภาพโรงพยาบาล ในส่วนของโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ได้มีระบบกำจัดขยะติดเชื้อของแต่ละโรงพยาบาลอยู่แล้ว 142 แห่ง กำจัดขยะได้น้อยเพียง 2,352 ตันต่อปี หรือประมาณร้อยละ 5 เท่านั้น ที่เหลือจะให้ภาคเอกชนดำเนินการเก็บ ขน และกำจัด ให้เป็นระบบ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อโรคจากขยะติดเชื้อ


          ทั้งนี้ กรมอนามัย เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ร่วมกับกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นและกรมควบคุมมลพิษ อย่างไรก็ดี การจัดการขยะทีดีที่สุด ยังต้องอาศัยความร่วมมือจากประชาชนทุกคน เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างพฤติกรรมการคัดแยกขยะแต่ละประเภท ทิ้งให้ถูกวิธี โดยเฉพาะขยะพิษ เช่น กระป๋องยาฆ่าแมลง หลอดไฟ ถ่านไฟฉาย น้ำยาทำความสะอาด ควรแยกใส่ถุงพลาสติกและนำไปทิ้งในถัง หรือภาชนะที่เก็บแยก ซึ่งจะมีสีต่างจากถังขยะทั่วไป ส่วนใหญ่ถังขยะประเภทนี้จะวางไว้ตามจุดต่างๆ เช่น ปั๊มน้ำมัน ห้างสรรพสินค้า หากไม่สามารถหาถังหรือภาชนะดังกล่าวเพื่อทิ้งขยะได้ ก่อนนำไปทิ้งต้องเขียนหน้าถุงว่าขยะอันตราย เพื่อไม่ให้มีการนำไปใช้อีก.


 


 


          ที่มา : เว็บไซต์ไทยรัฐ


          ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

Shares:
QR Code :
QR Code