‘น้ำเมา’ ไม่ดีมายาคติ ที่ต้องก้าวผ่าน
ที่มา : หนังสือพิมพ์สยามรัฐ
ภาพประกอบจาก สสส.
"น้ำเมา" ไม่ดี มายาคติที่ต้องก้าวผ่าน
นพ.คำนวณ อึ้งชูศักดิ์ ประธานคณะกรรมการบริหารแผนคณะที่ 1 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวในงานประชุมวิชาการสุราระดับชาติ ครั้งที่ 10 "สิบปี พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551: ประเทศไทยได้อะไร" ว่า เคยมีการสำรวจข้อมูลโดยสุ่มตัวอย่างคนไทยจำนวน 5,000 คน ทั้งผู้ชายและผู้หญิง พบว่า 70% เห็นว่า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นปัญหาของสังคมไทย แต่การดื่มเป็นเรื่องปกติธรรมดา ซึ่งถือว่าเป็นอะไรที่ขัดแย้งกัน เพราะอะไร มีบางอย่างที่ซ่อนเงื่อนอยู่ จึงขอใช้คำว่า มีมายาคติบางอย่างอยู่ เป็นสิ่งลวงตาลวงใจ ทำให้เข้าใจผิด ได้แก่ มายาคติทางการแพทย์ มายาคติทางสังคมและธุรกิจ
"จริงๆ ประเทศไทยมีความพร้อมในการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ยังฝ่ามายาคติเหล่านี้ไปไม่ได้ ทำให้คนยังมองว่าการดื่มเป็นเรื่องปกติ หรือรู้ว่าการดื่มส่งผลเสียต่อร่างกายและสังคมแต่ก็ยังเลือกดื่ม และทำให้ยังมีคนดื่มเป็นจำนวนมากอยู่" นพ.คำนวณ กล่าว
มายาคติ "น้ำเมา" ที่ส่งผลให้คนมองว่า การดื่มเป็นเรื่องปกติ นพ.คำนวณ ระบุว่า เริ่มจาก 1.มายาคติทางการแพทย์ โดยเฉพาะการให้ข้อมูลทางการแพทย์ที่ว่า การดื่มแอลกอฮอล์ส่งผลดีต่างๆ อย่างไรจำนวนมาก ซึ่งเรื่องนี้เป็นการเลือกบางการศึกษาที่บอกถึงข้อดีของแอลกอฮอล์มาใช้อ้างอิงเท่านั้น เช่น ช่วยป้องกันโรคหัวใจดื่มอย่างพอเหมาะช่วยให้อายุยืนกว่า รวมไปถึงการสร้างคำแนะนำการดื่มที่มาตรฐาน เป็นต้น ซึ่งเราตกอยู่ในวังวนของมายาคติทางการแพทย์เหล่านี้มานาน จนยากที่จะเปลี่ยนความเชื่อแต่ทุกวันนี้พบว่า มีการศึกษาใหม่ออกมาแล้วที่ล้มล้างการศึกษาเก่าๆและบุคลากรทางการแพทย์เองจำเป็นที่จะต้องช่วยสื่อสารเรื่องเหล่านี้ออกไป เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง
"ล่าสุดมีรายงานของสหรัฐอเมริกา ว่า ดื่ม 1-2 ดริงก์ เกิน 4 วันต่อสัปดาห์ มีความเสี่ยงตายก่อนวัยอันควรถึง 20% และมีงานวิจัยที่ลงในวารสาร Lancet ว่า ยิ่งดื่มมากก็ยิ่งมีความเสี่ยงมากขึ้นดังนั้น การออกแนวทางการดื่มอย่างปลอดภัยคงไม่เป็นเช่นนั้นแล้วซึ่งประเทศไทยโชคดีที่ว่ากระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้ออกข้อคำแนะนำสำหรับบุคคลที่ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ คือ 1.เด็กและเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี 2.หญิงตั้งครรภ์และหญิงที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ 3.ผู้ขับขี่ยานพาหนะทุกประเภท และผู้ที่ทำงานเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ 4.ผู้ที่เจ็บป่วยด้วยโรคจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผู้มีโรคประจำตัว เช่น ตับ ไต หัวใจ ปอด สมองโรคทางจิต ฯลฯ และ 5. ประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้ดื่มอยู่แล้ว ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ออกแนวทางดังกล่าวมาแล้ว 2 ปี และควรเผยแพร่เรื่องนี้ให้มากขึ้น"
นพ.คำนวณ กล่าวอีกว่า 2.มายาคติทางด้านสังคมและธุรกิจ เช่น ดื่มเพื่อแสดงว่าโตแล้ว ดื่มเพื่อเข้าสังคมกับผู้บังคับบัญชา เพื่อจะได้ของบประมาณได้คล่องขึ้น ดื่มเพื่อให้ความรู้สึกว่า เป็นพวกเดียวกัน ใกล้ชิดกันมาก รักพวกพ้อง หรือกีฬาเป็นยาวิเศษและการดื่มเป็นส่วนหนึ่งของนักกีฬา รวมถึงการสื่อสารของบริษัทน้ำเมาว่า เป็นส่วนหนึ่งของงานบุญ ประเพณีวัฒนธรรม เป็นต้น
การแก้มายาคติเหล่านี้ นพ.คำนวณ แนะนำว่า จะต้องเปลี่ยนความคิดที่ว่า การดื่มเป็นเรื่องธรรมดา ให้เป็นเรื่องไม่ธรรมดา อย่างที่ผ่านมา เราสื่อสารเรื่องให้เหล้าเท่ากับแช่งก็ประสบความสำเร็จจนเชื่อว่าปัจจุบันแทบจะไม่มีใครให้เหล้าเป็นของขวัญกันแล้ว
นพ.คำนวณ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ อาจจะต้องแก้โดยสร้างคติที่ว่า ไม่ดื่มเป็นเรื่องปกติ โดยผู้นำรุ่นใหม่ต้องเป็นตัวอย่าง เช่น ประธานาธิบดีทรัมป์แห่งสหรัฐอเมริกาที่ประกาศไม่ดื่ม หรือประธานาธิบดีปูตินแห่งรัสเซียที่ใส่ใจสุขภาพอย่างมากปกติออกกำลังกาย และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในโอกาสสำคัญที่จำเป็นเท่านั้น และที่สำคัญคือดื่มพอเป็นพิธี ซึ่งเคยมีคนถ่ายภาพไว้ได้ว่า ประธานาธิบดีปูติน ดื่มเพียงเล็กน้อยในงานส่วนที่เหลือในแก้ว เททิ้งลงต้นไม้ทั้งหมด หรือแม้แต่ สีจิ้นผิงแห่งจีน ที่สั่งแบน เพราะมองว่าการเลี้ยงที่มีเหล้าเป็นเรื่องคอร์รัปชัน
นพ.คำนวณ กล่าวว่า ไม่เพียงเท่านั้น กลุ่มศิลปินดารา และนักกีฬาด้วย จะต้องมาช่วยกันส่งเสริมความคิดและค่านิยมที่ว่าการไม่ดื่มน้ำเมาเป็นเรื่องปกติเรื่องดี และคนเราจะประสบความสำเร็จในเส้นทางอาชีพของตัวเองได้ ไม่จำเป็นที่จะต้องดื่มของมึนเมาเหล่านี้
"อยากชักชวนทุกคนมาร่วมกันทำลายมายาคติและควบคุมแอลกอฮอล์ ผ่านพลังวิชาการ เช่น ราชวิทยาลัย สมาคมภาคี ต้องยืนยันตลอดเวลาว่า การดื่มไม่มีประโยชน์ต่อสุขภาพพลังนโยบาย กรมสรรพสามิตเดินหน้าขึ้นภาษีต่อเนื่อง ลดการให้ใบอนุญาต เผื่อลดความหนาแน่นของร้านจำหน่าย ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 1 ร้านต่อ 100 กว่าคน ซึ่งถือว่าสูงมากขณะที่เยาวชน 15-24 ปี อยู่ที่ 1 ร้านต่อ 15 คน และขอให้คณะกรรมการควบคุมทุกระดับบังคับใช้กฎหมายไม่ให้มีการโฆษณาแฝง CSR พลังสังคมและสื่อมวลชน ช่วยสื่อสารงานบุญประเพณี กีฬา งานเลี้ยงทางราชการ ปลอดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยทศวรรษที่สองของกฎหมาย เราหวังว่าจะเห็นเด็กยุคอัลฟา (Alpha Generation) ที่เกิดหลังปี 2550 ไม่ดื่มแอลกอฮอล์" นพ.คำนวณ กล่าว