นักวิชาการ รับถึงเวลาไทยเตรียมรับมือสังคมผู้สูงอายุ

นักวิชาการด้านประชากรศาสตร์ รับประเทศไทยควรเริ่มเตรียมพร้อมรับ “การเป็นสังคมผู้สูงอายุ” ชี้ประเด็นหลักคือเรื่องของหลักประกันทางการเงิน ขณะที่งานวิจัยพบว่า การขยายอายุการทำงานวัยเกษียณ เป็นแนวทางหนึ่งในการช่วยแก้ปัญหาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการขาดแคลนแรงงาน

เมื่อวันที่ 10 ก.ย. ที่ผ่านมา ณ ห้องประชุม 1 สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ หลักสี่ กรุงเทพมหานคร มีการเสวนาวิชาการมโนทัศน์ใหม่ของผุ้สูงอายุ เรื่อง “การขยายอายุการทำงาน : บทเรียนจากต่างประเทศและบริบทสำหรับสังคมไทย” โดยมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.)และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยเป็นการทบทวนบทเรียนและประสบการณ์การขยายอายุเกษียณของ 5 ประเทศได้แก่ สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส สิงค์โปร์ เกาหลีใต้ และประเทศญี่ปุ่น เพื่อนำมาเป็นแนวทางในการปรับใช้ให้เข้ากับบริบทของประเทศไทย

รศ.วรเวศม์ สุวรรณระดา คณบดีวิทยาลัยประชากรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นำเสนองานวิจัยผลกระทบการขยายอายุเกษียณ เนื่องจากในอนาคตจำนวนประชากรแรงงานมีแนวโน้มลดลง อาจเป็นอุปสรรคในการพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งภาคแรงงานจำเป็นต้องจ้างแรงงานต่างด้าวมาทำงานมากขึ้น จึงมีข้อเสนอในการขยายอายุเกษียณภาครัฐจากอายุ 60 ปีเป็น 65 ปี และยืดอายุการทำงานของลูกจ้างเอกชนต่อเนื่องจากอายุ 50 ปีไปเรื่อยๆ

โดยงานวิจัยผลกระทบจากการขยายอายุทำงาน พบว่า ลูกจ้างจะมีรายได้จากสวัสดิการภาครัฐเพิ่มขึ้น ส่วนเอกชนเมื่อเฉลี่ยแล้วจะมีรายได้และสวัสดิการสูงกว่าการเกษียณอายุที่ 50 ปี สำหรับนายจ้างจะมีต้นทุนเพิ่มขึ้นในปีแรกๆ ที่ขยายอายุการทำงานลูกจ้าง แต่หลังจากช่วงปีที่ 5 เป็นต้นไปอาจจะคงที่ ซึ่งในมุมนายจ้างอาจมองไม่คุ้มกับการลงทุน จึงต้องศึกษาแนวทางรองรับต่อไป

ส่วนภาครัฐ ถือว่าได้ประโยชน์เนื่องจากจะเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากแรงงานที่ทำงานต่อเนื่องได้เพิ่มขึ้น แต่ก็มีภาระการคลังที่ต้องส่งเสริมนโยบายด้านค่าจ้าง ต้นทุนสวัสดิการที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน ในส่วนการจ้างงานพบว่า การขยายอายุเกษียณและขยายอายุการทำงานไม่ได้ทำให้อัตราการว่างงานของแรงงานวัยหนุ่มสาวอายุระหว่าง 15-29 ปีเพิ่มขึ้น

เวทีเสวนายังเสนอบทเรียนจากต่างประเทศที่ส่วนใหญ่เริ่มดำเนินนโยบายขยายอายุการทำงาน เช่น ประเทศสิงคโปร์ ทำได้ผลดี เนื่องจากประชากรน้อย ง่ายแก่การควบคุม และประชากรทั้งประเทศให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการปฏิบัติตามนโยบาย

ส่วนประเทศไทยอาจจะเป็นไปได้ยาก เพราะจำเป็นต้องมีการสื่อสารกับประชาชนอยู่เสมอ รวมทั้งต้องปรับปรุงในเรื่องการศึกษาที่ปัจจุบันถดถอยลงมาก ขณะที่หลายประเทศอย่าง สหราชอาณาจักร, สิงค์โปร์, เกาหลี, ญี่ปุ่น ยังไม่ทำเต็มรูปแบบ แต่ได้เตรียมการมาแล้วกว่า 10 ปี ส่วนประเทศฝรั่งเศส มีนโยบายนี้เช่นกัน แต่ไม่ประสบความเร็จเนื่องจากเป็นนโยบายทางการเมือง ซึ่งยังไม่สามารถผลักดันให้เป็นรูปธรรมได้

รศ.วรเวศม์ กล่าวอีกว่า นอกเหนือจากเรื่องของการขยายอายุการทำงาน ประเด็นที่สำคัญในสังคมผู้สูงอายุก็คือ จากนี้ไปจะมีอายุยืนขึ้นในขณะเดียวกันเด็กรุ่นหลังๆ จะมีน้อยลง เพราะฉะนั้น ประเด็นหลักก็คือ เรื่องของหลักประกันทางการเงินว่าจะสร้างหลักประกันทางกันเงินที่มั่นคงได้อย่างไร เพราะอาจจะมาได้หลายทาง เช่น การส่งเสริมให้ออมเงินตั้งแต่วัยหนุ่มสาวหรือภาครัฐอาจจะจัดเรื่องของสวัสดิการ บำนาญให้

เนื่องจากมีความสำคัญมาก ที่ผ่านมารัฐบาลในอดีตหลายๆ ชุดก็ทำในเรื่องนี้ เช่น การขยายความครอบคลุมของเบี้ยยังชีพว่า เมื่อก่อนมีแต่ผู้สูงอายุด้อยโอกาส แต่ปัจจุบันมีเรื่องของสิทธิเข้ามาเกี่ยวข้องส่วนรัฐบาลชุดที่ผ่านมาสมทบ ให้มีพรบ.กองทุนการออมแห่งชาติแต่ยังติดขัดอยู่ และปัจจุบันก็มีการสารต่อเพียงหรือนำไปปฏิบัติใช้ซึ่งตรงนี้ก็เป็นเรื่องที่น่ากังวลอยู่

อีกเรื่องหนึ่งคือการที่เด็กมีแนวโน้มน้อยลงแสดงว่า ภาพรวมของเด็กในอนาคตจะมีผู้สูงอายุที่ไม่มีบุตรมาดูแล ในปัจจุบันถือว่ายังมีบุตรที่คอยดูแลอยู่อาจจะไม่มีปัญหา แต่ในอนาคตเรื่องของการดูแลผู้สูงอายุจะทำอย่างไรหากไม่มีภาวะพึ่งพา ทุพพลภาพก็ไม่เป็นไร แต่เมื่อใดที่ล้มป่วยจะไม่ได้รับการดูแล ตนคิดว่า เรื่องของหลักประกันทางการเงิน เรื่องของระบบการดูแลจะมีความสำคัญอย่างมากในยุคปัจจุบันและต่อเนื่องไปถึงอนาคตด้วย

จากนี้ไปจะจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในวันที่ 11 ตุลาคมนี้ ซึ่งจะได้ข้อสรุปเพื่อเสนอต่อรัฐบาลและภาคเอกชนต่อไป

 

 

ที่มา : เว็บไซต์ astv ผู้จัดการออนไลน์

Shares:
QR Code :
QR Code