‘ธรรมะเดลิเวอรี่’ นำความสุขเติมชีวิต
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเป้าหมายของเราทุกคน ล้วนแล้วแต่ต้องการ ‘ความสุข’ ในการดำรงชีวิตด้วยกันทั้งนั้น แต่ก็ยังมีคำถามเกิดขึ้นในใจอยู่เสมอว่า “แล้วจะทำอย่างไร ชีวิตของเราจึงจะมีความสุข?”
เมื่อเร็วๆ นี้ ผู้เขียนมีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรม “ธรรมะสร้างสมดุลชีวิต” ที่จัดขึ้นโดยศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สสส. และได้รับฟังธรรมะจากท่านพระอาจารย์วรวัฒน์ หรือ ว.วรวฑฺฒโน ทีมงานธรรมะเดลิเวอรี่…วันนี้จึงขออนุญาตหยิบยกข้อคิดเหล่านั้นมาเล่าให้ฟังค่ะ
อะไรคือความสมดุลของชีวิต?
พระอาจารย์วรวัฒน์นิยามไว้ว่า ‘ความสมดุลของชีวิต’ หมายถึง ความเท่าเทียมหรือความเสมอภาค ซึ่งในขณะเดียวกันก็มีธรรมะอยู่ 3 ข้อที่คอยขวางกั้นไม่ให้ชีวิตมีความสมดุลและทำให้คนเราไม่มีความสุข อันได้แก่
“ตัณหา” ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากรวย ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากตัณหาทั้งนั้น โดยหากจะกำจัดตัณหาต้องรู้จักยินดีในสิ่งที่ตนมี พอใจในสิ่งที่ตนหามาได้ และรู้จักความพอเพียงเสียก่อน
“มานะ” ความถือตัว ยึดมั่นถือมั่น แก้ไขได้ด้วยการปล่อยวาง ยิ่งคนเราอายุมากขึ้น ยิ่งต้องปล่อยวางมากขึ้น เพื่อชีวิตจะได้พบความสุขในบั้นปลาย
“ทิฐิ” ความคิดความเห็น มีอยู่ 2 แบบ ได้แก่ สัมมาทิฐิ คือ ความเห็นที่ถูกต้อง ความเชื่อมั่นที่ดี ส่วนมิจฉาทิฐิ คือความเห็นที่ไม่ถูกต้อง บางครั้งในที่นี้ก็หมายถึงเป็นความคิดเห็นแบบซ้ำๆ เดิมๆ ความเชื่อมั่นผิดๆ ที่ทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาได้ในชีวิตนั่นเอง
ทำอย่างไรให้ชีวิตมีความสุข?
พระอาจารย์วรวัฒน์แนะหลักธรรม 5 อ. ดังต่อไปนี้
1อ. เอารอยยิ้มมาล้างหน้า อย่าหน้าบูดหน้าบึ้ง หมั่นยิ้มเข้าไว้ โดยคำว่า ‘หน้า’ ในที่นี้หมายรวมไปถึงหน้าที่ด้วย เช่นเดียวกับคำสอนของหลวงพ่อปัญญา นันทภิกขุ ท่านกล่าวไว้ว่า "หน้านอกบอกความงาม หน้าในบอกความดี หน้าที่บอกความสามารถ" ดังนั้นหน้านอกแต่งให้พอดี หน้าในและหน้าที่แต่งให้มากๆ
2อ. เอามธุรสวาจามาล้างปาก ในเรื่องของคำพูด ต้องหัดเป็นคนพูดจาไพเราะอ่อนหวาน เพราะบางคนชอบเอาคำพูดคนอื่นเก็บมาคิด ทำให้เกิดความทุกข์ใจ อย่าลืมว่าสิ่งดีๆ จะเกิดขึ้นได้เพราะคำพูดจาดีๆ คำพูดจาหวานๆ
3อ. เอาหยาดเหงื่อแห่งความลำบาก มาล้างความยากจน คือขยันให้เหงื่อออกทางรูขมุขน ดีกว่าขี้เกียจแล้วยากจน จนน้ำล้นออกทางตา เพราะเหงื่อคือน้ำมนต์ที่ดีที่สุด
4อ. เอาความดีของคนอื่นมาล้างกิเลสเรา หากเห็นใครประสบความสำเร็จในชีวิต ก็สาธุอนุโมทนายินดีกับเขาด้วย แล้วชีวิตเราก็จะมีความสุขมากขึ้น เช่นคำสอนที่ว่า "โลกภายนอกกว้างไกลใครใครรู้ โลกภายในลึกซึ้งอยู่รู้บ้างไหม อยากมองโลกภายนอกให้เราทั้งหลายมองออกไป อยากมองโลกภายในให้เราย้อนกลับมาที่ตัวเราเอง"
และสุดท้าย 5อ. เอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาล้างใจตัวเอง ซึ่งธรรมะขั้นพื้นฐานของชีวิตก็คือศีล 5 ข้อ โดยพระอาจารย์สรุปให้เข้าใจง่ายๆ ได้แก่ ศีลข้อ 1 ไม่โหดร้าย มีเมตตา มีความรัก ไม่อาฆาตมาดร้าย รักกันเหมือนพี่ดีกันเหมือนน้อง ปรองดองกันเหมือนญาติ พึงระลึกเสมอว่า จิตใจของเรามีผลต่อสภาพแวดล้อมจะคิด จะพูดอะไรก็ตาม มีผลต่อคนรอบข้างเสมอ หากจิตดี กายย่อมดีตามมา
ศีลข้อ 2 ไม่มือไว อย่าไปหยิบ ไปแย่งเอาของคนอื่นที่ไม่ใช่ของเรา ข้อ 3 ไม่ใจเร็ว คุณพ่อคุณแม่ต้องสอนลูกหลาน ให้รู้จักรักนวลสงวนตัว ยับยั้งชั่งใจ ข้อ 4 ไม่ปากไว เรื่องการใช้คำพูด เช่นเดียวกับที่บอกว่าเอามธุรสวาจามาล้างปาก ข้อ 5 ไม่ไร้สติ ขาดสติทำให้เราทำผิดศีลข้ออื่นได้ทุกอย่างง่ายดาย
นอกจากนี้พระอาจารย์ยังทิ้งท้ายถึงหลักธรรมที่จะช่วยให้เราอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างมีความสุขด้วย พรหมวิหาร 4 ได้แก่
เมตตา – ความรัก ให้รักกันเหมือนพี่ดีกันเหมือนน้อง ปรองดองกันเหมือนญาติ
กรุณา – ความช่วยเหลือ แบ่งปัน มีมากช่วยคนมีน้อย มีน้อยก็ช่วยในสิ่งที่เขาไม่มี
มุทิตา – คอยยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี จำไว้ว่า "อิจฉาเป็นบาป อนุโมทนาเป็นบุญ"
อุเบกขา – วางใจเป็นกลาง วางเฉย ละเว้นอคติและกิเลสทั้ง 4 ได้แก่ ฉันทาคติ คือ ลำเอียงเพราะรัก โทสาคติ คือ ลำเอียงเพราะชัง ภยาคติ คือ ลำเอียงเพราะกลัว โมหาคติ คือ ลำเอียงเพราะไม่รู้
"ที่สุดแล้วธรรมะเป็นเรื่องใกล้ตัวและอยู่ในชีวิตประจำวัน เพียงแต่เราต้องเรียนรู้และฝึกคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล จนนำมาประพฤติปฏิบัติใช้อย่างผู้มีปัญญา ซึ่งไม่เพียงแต่ธรรมะจะช่วยให้เรามีจิตใจที่สงบนิ่งแล้ว ยังสามารถสร้างความสมดุลให้กับชีวิตได้ดีเลยทีเดียวค่ะ"
เรื่องโดย ภาวิณี เทพคำราม Team Content www.thaihealth.or.th
**สำหรับใครที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมเสาร์สร้างสุข โดยศูนย์เรียนรู้สุขภาวะในครั้งต่อไป สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.thaihealthcenter.org หรือโทร. 081-731-8270 (09.00-17.00 น. จันทร์-เสาร์ เว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์) Line ID: thaihealth_center