ธนาคารเวลาเพื่อชีวิตที่ดีกว่า
ที่มา : เดลินิวส์
แฟ้มภาพ
ประเทศไทยกำลังจะเป็นสังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ ในปี พ.ศ. 2564 เนื่องจากจะมีประชากรผู้สูงอายุร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด ส่งผลถึงการเพิ่มภาระของรัฐ สังคม ชุมชนและครอบครัวในการดูแลรักษาสุขภาพ ค่าใช้จ่ายในการยังชีพ สภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย และมีคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้สูงอายุ รัฐบาลโดยกรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จึงได้นำแนวคิดและรูปแบบ "ธนาคารเวลา" (Time Bank) มาประยุกต์ให้เข้ากับบริบทและวัฒนธรรมสังคมไทย โดยเรามีทุนทางสังคมและวัฒนธรรมที่เข้มแข็งในเรื่องความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การดูแลซึ่งกันและกัน อีกทั้งยังมีจิตอาสาที่เป็นอาสาสมัครอยู่เป็นจำนวนมากทั่วประเทศ
ที่ผ่านมา กรมกิจการผู้สูงอายุได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายพัฒนาจัดทำคู่มือแนวทางการดำเนินงานธนาคารเวลาของประเทศไทยโดยมุ่งหวังให้เป็นแนวทางสำหรับบุคคล หน่วยงานและองค์กรที่สนใจ นำไปศึกษา สร้างกระบวนการเรียนรู้และดำเนินการจัดตั้ง แม้ยังไม่เป็นที่แพร่หลายแต่เราเชื่อว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่มีความใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด ควรมีบทบาทสำคัญในการประสานงาน สนับสนุน ร่วมกับหน่วยงานของรัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาสังคมในการขับเคลื่อนผลักดันให้แต่ละชุมชน แต่ละหมู่บ้าน ร่วมกันจัดตั้งและเป็นสมาชิก "ธนาคารเวลา" โดยใช้เวลาแลกเวลา บริการแลกบริการ เป็นทั้งผู้ให้และผู้รับ ซึ่งจะว่าไปแล้วจะมีลักษณะคล้ายคลึงกับ "ธนาคารความดี" ในโรงเรียน เพียงแต่การตอบแทนเป็น "ความดีแลกสิ่งของ"
สำหรับ อปท.ที่ได้ทดลองนำ "ธนาคารเวลา"มาใช้แล้ว อาทิ เทศบาลตำบลชมภู จ.เชียงใหม่ ผ่านศูนย์บริการคนพิการ และศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ โดยมีหน่วยงานและองค์กรอื่น ๆ มาร่วมสนับสนุน อาทิ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นต้น แม้เป็นช่วงเริ่มต้น ความร่วมมือของสมาชิกในชุมชนอาจไม่มากนัก แต่หากมีการขยายผล ให้ความรู้ สร้างความเข้าใจ มีกิจกรรมเชิญชวนและกฎกติกาที่ผ่อนคลาย ก็เชื่อว่าจะได้รับความร่วมมือร่วมทำกิจกรรมมากขึ้น เนื่องเพราะประโยชน์ที่ได้รับต่าง "วิน-วิน" ทุกฝ่าย และยังเกิดความภาคภูมิใจในชีวิตที่มิอาจซื้อหาได้
ที่ผ่านมาเราเคยได้ยิน ธนาคารน้ำ ธนาคารที่ดินธนาคารคนจน ฯลฯ ซึ่งเป็นกิจกรรมมุ่งส่งเสริม ช่วยเหลือผู้ได้รับความเดือดร้อนในด้านนั้น บ้างบรรลุผลบ้างล้มเหลว ขึ้นอยู่กับความร่วมมือของสมาชิก รวมถึงองค์กรภาครัฐ เอกชนและประชาสังคม เข้ามา สนับสนุน ติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผล อย่างต่อเนื่อง และเชื่อว่า "ธนาคารเวลา" สามารถประยุกต์ใช้กับคนกลุ่มอื่น ๆ ไม่เฉพาะผู้สูงวัยหรือผู้พิการ หากแนวคิดนี้เป็นที่ยอมรับแพร่หลายในวงกว้างจะส่งผลให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดี สังคมเข้มแข็ง น่าอยู่ เป็นที่อิจฉาของคนทั่วโลก