ธนาคารเด็ก ‘บ้านดุหุน’ เสริมสร้างวินัยการออม

ชีวิตของเด็กๆ ในชนบทนั้นไม่ได้เพียบพร้อมสมบูรณ์ ขาดแคลนปัจจัยพื้นฐานหลายอย่าง ทั้งชุดนักเรียน รองเท้า ตลอดจนอุปกรณ์การเรียน การรับบริจาคจากองค์กรเอกชน หรือแม้แต่เงินจากรัฐคงไม่ช่วยแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน โมเดลธนาคารโรงเรียนบ้านดุหุน แห่งตำบลบ่อหิน อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง จึงเกิดขึ้น

เพื่อส่งเสริมให้เด็กนักเรียนรู้จักการออมเงินระยะยาวแบ่งเบารายจ่ายจากผู้ปกครอง ยามที่ต้องซื้อข้าวของเครื่องใช้เพื่อการศึกษา ซึ่งปัจจุบัน ธนาคารโรงเรียนแห่งนี้เป็นแหล่งเรียนรู้หนึ่ง ของตำบลบ่อหิน ตามโครงการ “ตำบลสุขภาวะ” โดยการสนับสนุนของ สำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

โครงสร้างพื้นฐานของบ้านดุหุน หมู่ที่ 3 นั้น เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เป็นผู้นับถือศาสนาอิสลาม เด็กนักเรียนในโรงเรียนบ้านดุหุนจึงล้วนเป็นลูกหลานของครอบครัวอิสลาม มีบางส่วนมาจากครอบครัวอิสลามบ้านปากคลอง หมู่ที่ 9 และมีเด็กไทยพุทธมาเรียนร่วมด้วย 2 คน

จุดเริ่มต้นของการออมในโรงเรียนบ้านดุหุนนั้น เริ่มต้นมาเป็นเวลานาน โดยทำในลักษณะของการออมภายในโรงเรียน โดยมีครูเป็นผู้ดำเนินการเก็บรวบรวมเงินของนักเรียนและนำฝากที่ธนาคาร ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จนเมื่อปี 2553 ธ.ก.ส. จึงได้เข้ามาช่วยจัดตั้งธนาคารภายในโรงเรียน ติดตั้งวางระบบให้เด็กนักเรียนดำเนินการด้วยตัวเอง โดยมีทั้งผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านดุหุน และคณะครูคอยเป็นทีมที่ปรึกษาให้

ด.ช. ธิติณัฐ บุญญา หรือน้องแทน นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้จัดการธนาคารบ้านดุหุน ได้เล่าให้ฟังว่าหน้าที่ของผู้จัดการธนาคารคือการดูแลการทำงานของพนักงาน ตรวจสอบการเปิดบัญชีกระทบยอดเงินฝากธนาคาร ตลอดจนดูแลสมุดเงินฝากของลูกค้า

“ลูกค้าสามารถฝากถอนเงินจากธนาคารนี้ได้เหมือนธนาคารทั่วไป ผู้ที่จะฝากเงินจะต้องเขียนใบฝาก และนำเงินมาที่พนักงานการเงิน และให้พนักงานบัญชีคีย์ข้อมูลเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐานว่าใครฝากไว้เท่าไร มียอดรวมเท่าไร ปัจจุบันธนาคารมีลูกค้ากว่า 300 คนและคนที่ถอนเงินส่วนใหญ่ ก็เพื่อนำเงินไปซื้อเสื้อผ้า รองเท้า อุปกรณ์การเรียน” น้องแทน เล่า

ธนาคารแห่งนี้ยังมีพนักงานอีก 4 คนแบ่งเป็นพนักงานบัญชี และพนักงานการเงินอย่างละ 2 คน โดย อนันตญา  เหล็กเกิดผลหรือน้องซาร่า นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ตำแหน่งพนักงานการเงิน กล่าวว่า ในแต่ละวันตนจะคอยทำหน้าที่ตรวจนับเงินสด ที่มีคนนำมาฝากว่าของใครมีเท่าไหร่ ถอนไปเท่าไหร่ยอดคงเหลือเท่าไหร่

“ที่นี่จะเปิดทำการทุกวัน แบ่งเป็นช่วง  2 เวลา  คือ ตั้งแต่เวลา 07.30-08.00 น. และ 12.05-12.50 น. ซึ่งในแต่ละวันมีเงินฝากเข้าธนาคารประมาณ 8,000-10,000 บาท”อนันตญาเล่าอย่างเขินๆ เจ้าพนักงานการเงินอย่างน้องซาร่าเอง ก็เป็นลูกค้าของธนาคารเช่นเดียวกัน โดยฝากเงินมาเป็นระยะเวลา 3 ปีมีเงินฝากราว 2 หมื่นบาท น้องซาร่าเล่าถึงการบริหารจัดการเงินของตนว่า ตนได้เงินมาโรงเรียนวันละ 40-50 บาท โดยจะแบ่งเงินเป็น2 ส่วน ส่วนแรกจะใช้เป็นค่าอาหารกลางวันและส่วนที่ 2 จะนำมาฝากกับธนาคาร วันละ20-30 บาท ซึ่งตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะเอาเงินในส่วนนี้ไปเรียนต่อในระดับชั้นมัธยมศึกษา” น้องแทน เล่า

ธัญวรัตม์ ตั้งดีมี ครูประจำโรงเรียนบ้านดุหุน ผู้เป็นหนึ่งในที่ปรึกษาของธนาคารโรงเรียน กล่าวว่า เด็กๆ ที่โรงเรียนนี้ รู้จักการออมกันทุกคน โดยส่วนใหญ่จะนำเงินที่ได้รับจากผู้ปกครองมาฝากธนาคาร

“แต่หลายคนก็เก่ง สามารถทำงานหาเงินได้ตั้งแต่เด็ก บางคนไปเก็บลูกยางขายบางคนไปรับจ้าง บางคนไปจับปลา ตามแต่จะได้ โดยเด็กที่มีเงินฝากสูงสุดนั้นอยู่ที่ราว 3 หมื่นบาทเลยทีเดียว” ธัญวรัตม์ กล่าวและยังกล่าวเสริมอีกว่า

เมื่อเด็กรู้จักการออม ก็เหมือนเป็นการส่งเสริมให้เขารู้จักการใช้ชีวิต ได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่รู้จักคิดใช้จ่ายเมื่อก่อนได้เงินมาใช้หมด แต่ปัจจุบันมีเหลือเก็บได้มีรองเท้า มีชุดนักเรียน มีอุปกรณ์การเรียนขณะที่ผู้ปกครองเองก็เห็นว่าดี ช่วยส่งเสริมให้ลูกออมทุกวัน

นี่คือต้นแบบที่สะท้อนให้เห็นว่า การจัดการที่ดี การมองเห็นปัญหา และส่งเสริมอย่างถูกวิธีนั้นไม่เพียงแต่จะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลน หากยังนำมาซึ่งสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่านั่นคือนิสัย จิตสำนึก ตลอดจนความคิดในแบบการบริหารจัดการตัวเองตั้งแต่ยังเด็ก สิ่งเหล่านี้จะเป็นรากฐานสำคัญให้กับพวกเขาในอนาคต ที่แน่นอนว่าจะส่งผลดีกลับมายังชุมชนบ้านเกิดของพวกเขาไม่มากก็น้อย

 

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์สยามธุรกิจ 

Shares:
QR Code :
QR Code